วันจันทร์ ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2568
"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯบำเพ็ญพระราชกุศลครบ 1 ปี มรณภาพสมเด็จพระญาณวชิโรดม (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร) ณ อาคารบุญญาวาส วัดธรรมมงคลเถาบุญนนทวิหาร ซอยปุณณวิถี 20 กรุงเทพมหานคร เป็นเวลา 3 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 21-23 ธันวาคม พ.ศ.2564
โดยมีพระมหาเถระและพระเถรานุเถระ 30 รูปทั่วประเทศ ร่วมทักษิณานุปทานและสวดมาติกา เช่น พระเทพมงคลญาณ วิ.(หลวงปู่สนธิ์ อนาลโย) วัดพุทธบูชา, พระราชพัชรญาณมุนี วิ.(หลวงปู่ทองอินทร์ กตปุญโญ), พระเทพวชิรญาณ วิ.(หลวงปู่เลี่ยม ฐิตธมฺโม) เป็นต้น โดยมีพระธรรมวชิรญาณ เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร-สมุทรปราการ (ธรรมยุต) รักษาการเจ้าอาวาส วัดธรรมมงคล ประธานฝ่ายสงฆ์ และประธานฝ่ายฆราวาส ได้แก่ อาจารย์มีชัย ฤชุพันธ์, ดร.ศิริธัช โรจนพฤกษ์, คุณชัช ชลวร, ดร.นิวัฒน์ แจ้งอริยวงศ์, คุณวิวรรธน์ ไกรพิสิทธิ์กุล และ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สาคร สุขศรีวงศ์
ในโอกาสนี้ "พระราชภาวนาวชิรากร" หรือ หลวงพ่ออินทร์ถวาย สนฺตุสฺสโก เจ้าอาวาสวัดป่านาคำน้อย จังหวัดอุดรธานี เป็นองค์แสดงพระธรรมเทศนากัณฑ์แรกในวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ.2564 ในหัวข้อ "พระธรรมของพระพุทธเจ้า"
เมื่อหลายๆ ปีการจัดงานวันเกิดของท่าน หลวงพ่อก็เป็นองค์หนึ่งในนามหลายๆ องค์เป็นผู้แสดงธรรม ที่วัดธรรมมงคลแห่งนี้ แต่คราวนี้เป็นการทำบุญครบ 100 วัน มรณภาพขององค์หลวงปู่ท่าน และคณะสงฆ์ก็ได้นิมนต์อาตมาภาพหรือหลวงพ่อมาเป็นองค์แสดงธรรม หลวงพ่อฯก็ยินดีน้อมรับ เพราะหลวงปู่เป็นผู้มีพระคุณต่อพระพุทธศาสนิกชน ต่อพุทธบริษัท ต่อศิษยานุศิษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งของหลวงพ่อฯเป็นอย่างมาทีเดียว และก็พร้อมกัน หลวงพ่อฯเองก่อนที่จะแสดงธรรมก็ขอบอกกล่าว หรือขอเชิญให้คณะศรัทธาญาติโยมทุกหมู่เหล่าที่นั่งฟังธรรมเทศนา
หลวงพ่อฯ ก็คงจะไม่พูดไม่กล่าวอะไรมาก ก็มีเวลาจำกัด และพร้อมกันก็การฟังธรรมตั้งใจฟัง เพราะว่าตรงนี้อย่างที่โฆษกได้กล่าวเมื่อกี้นี้ อาราธนาเป็นสรภัญญะก็ไม่พูดยืดยาว สรุปว่าให้เป็นองค์แสดงธรรม จุดนี้เป็นจุดแสดงธรรม
.jpg)
เพราะฉะนั้นศรัทธาญาติโยมทุกหมู่ทุกเหล่า มานั้่งอยู่ตรงนี้เพื่อฟังธรรม ฟังธรรมคำสอนที่อาตมาภาพจะได้นำคำสอนของพระพุทธเจ้าบทหนึ่ง องค์หนึ่ง จุดหนึ่งใน 84,000 พระธรรมขันธ์นั้นมาชี้แจงมาแนะนำให้กับพวกเราท่านทั้งหลาย เพราะว่าการฟังธรรมในหลักของพระพุทธศาสนามีหลายๆองค์ หรือว่าเราได้ศึกษา หลายๆ เล่ม หรือในธรรมคำสอนก็ได้รับธรรม ท่านได้บอกกล่าวไว้ว่า ผู้ฟังธรรมย่อมได้รับฟังในสิ่งที่ไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง สอง สิ่งไหนที่เคยได้ยินได้ฟังแล้ว ไม่เข้าใจ ก็จะเข้าใจสิ่งนั้่นชัดขึ้น ข้อที่สาม บรรเทาความสงสัยเสียได้ ข้อที่สี่ ทำความเห็นให้ถูกต้องได้ ข้อที่ห้า เราจะทำจิตใจของเรา เมื่อได้ฟังอรรถฟังธรรม ฟังหลักเหตุผลจึงจะได้รับความสงบ ความผ่องใสในการฟังธรรม นี่!อานิสงส์แห่งการฟังธรรม มีอยู่ 5 ข้อ 5 อย่าง ตามแนวแถวที่พวกท่านที่ท่านได้พูดได้กล่าวไว้น่ะ สรุปแล้วก็คือ พวกเราจะเฉลียวฉลาด จะรู้เรื่องราวต่างๆมาได้ก็ต้องอาศัยการได้ยินได้ฟัง
สุสฺสูลํ ลภเต ปญฺญํ. ผู้ฟังด้วยดี ย่อมได้ปัญญา ผู้ฟังธรรม สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการได้ยินได้ฟัง จินตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการจิตนา ใคร่ครวญทบทวนว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังมานั้นมีเหตุผลมากน้อยแค่ไหน ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ทำจิตใจให้สงบ จิตใจให้เป็นหนึ่งเสียก่อน จากนั้นนำมากลั่นกรอง ไตรตรองเหตุและผล ก็จะเกิดปัญญาที่แท้จริง หลักของพระพุทธศาสนา แต่ว่าภาวนามยปัญญาคำนี้น่ะ เป็นหลักธรรมคำสอนของพุทธะ
สุตมยปัญญา กับ จินตามยปัญญานั้น เป็นปัญญาทางโลกทั่วๆไป แต่ภาวนามยปัญญาจึงจะตัดกิเลสภายในใจ ตัดกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ ออกจากจิตใจได้ ต้องภาวนามยปัญญา ต้องทำจิตใจให้นิ่งเสียก่อน จากนั้นก็นำมากลั่นกรองไตร่ตรองด้วยเหตุและผล จากนั้นก็พิจารณาให้ถยึดถ้วย ถ้วนถี่ และ ปล่อยวาง ไม่ยึด ในจุดนั้น เพราะเรารูัแจ้งเห็นจริงแล้ว นี่แหละ เขาเรียกคือ เป็นหลักธรรมคำสอนขององค์พุทธะ ต่อนี้ไปหลวงพ่อฯจะเข้าประเด็นแล้วน่ะ ทีนี้ เพราะว่าการมาแสดงธรรมในจุดนี้ ก็ต้องทำตามแนวแถวที่บุุรพจารย์ บูรพาจารย์พามาดำเนินมา ก่อนที่จะกล่าวอรรถธรรมต้องน้อมพระพุทธเจ้า ว่าเราจะได้นำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาชี้แจงมาบอกกล่าวมาชี้แจง เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะนำคำสอนของพุทธะ เราก็ต้องนอบน้อมต้นบรมครู คือ ต้นศาสดา ต้นศาสนาก่อน นี่แหละ ที่เรียกว่า "พระพุทธศาสนาอยู่ได้ด้วยประวัติศาสตร์"
ประวัติศาสตร์ แม้จะอยู่สถานที่ใดก็ต้องน้อมรำลึกถึง ผู้มีพระคุณ คือ พระพุทธเจ้า ก่อนที่จะเทศน์ก็ต้องน้อมรำลึกถึงพระพุทธเจ้า อย่างที่พระสงฆ์สวดมาติกาเมื่อกี้นี้ เป็นต้น น้อมรำลึกถึงพระพุทธเจ้าว่า นะโม นะโมถึง 3 จบ ด้วยน่ะ ไม่ใช่ “นะโม” จบเดียว นะโมแปลว่าอะไร นะโมแปลว่า “ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระผู้พระภาค พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น” ถึง 3 ครั้ง

นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 ครั้ง) ปูชาจะปูชนียานัง ขะยะวะยะธัมมา สังขารา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถาตีติ. วันนี้เป็นวันรำลึกถึงที่องค์หลวงปู่ของเราได้จากไปครบรอบ 1 ปี ณ วันนี้ และ ก็พร้อมกันในขณะที่ผ่านๆมา ก็เป็นที่รู้กัน คณะศรัทธาญาติโยม ศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย ก็ไม่ค่อยได้เข้ามา มาร่วมมารวมกัน เพราะเหตุว่า โรคภัยไข้เจ็บรุมเร้า เพราะฉะนั้น อาตมาภาพเองก็อยากจะมาในช่วงนั้น ตั้งแต่องค์หลวงปู่จากไป ก็ได้มาเป็นเจ้าภาพครั้งเดียว พอเข้ามาครั้งนั้นครั้งแรก ก็ได้ทราบว่ามีคนติดโควิด โคชนอยู่ที่นี่ ก็เลยจากนั้นก็ห่างเหินกัน
เพราะฉะนั้นในวันนี้ บ้านเมืองก็เข้าสู่ปกติ จึงได้มีการบำเพ็ญถวายเป็นพระราชกุศล ครบรอบ 1 ปี วันนี้ เห็นคณะศรัทธาญาติโยมพระสงฆ์เข้ามาร่วมงาน ก็อบอุ่นสมกับองค์หลวงปู่ของเราเป็นพระมหาเถระ ผู้ใหญ่ หรือว่า จะว่าไปก็เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น รุ่นแรกๆ ที่หลวงปู่มั่นกลับมาจากจังหวัดเชียงใหม่ มาที่จังหวัดสกลนคร ก็ได้หลวงปู่วิริยังค์ เข้าไปกราบ เข้าไปอยู่กับองค์หลวงปู่มั่น ก่อนองค์หลวงตามหาบัว แต่ถึงยังไง หลวงตามหาบัวมีอายุมากกว่า แต่ท่านก็ยังเรียนหนังสืออยู่ที่กรุงเทพมหานคร
แต่หลวงปู่วิริยังค์ของเรานี่เป็นพระน้อยพระหนุ่ม เป็นลูกศิษย์หลวงปู่กงมา ดอยธรรมเจดีย์ ที่อยู่ใกล้แถบๆนั้น ท่านก็ได้เข้ามาปรนนิบัติหลวงปู่มั่น เข้ามาก่อนหลวงตามหาบัว อาตมาภาพก็ได้ทราบ ได้ศึกษาในแนวแถวองค์หลวงปู่ของเรา จากนั้นท่านก็ได้ออกมาประพฤติปฏิบัติ ได้ประกาศพระศาสนาหลายๆอย่าง เป็นที่รู้กัน แต่ขั้นสุดท้าย ท่านก็ได้ออกไปอยู่ประเทศ “แคนาดา” ได้แนะนำเรื่อง “สมาธิ” ให้กับชาวต่างประเทศ จุดนี้แหละ เป็นจุดที่น่าศึกษา เป็นจุดที่จโด่งดังสำหรับองค์หลวงปู่ของเรา ที่ท่านประกาศเกียรติศัพท์ เกียรติคุณให้ชาวต่างชาติ ได้ศึกษาในเรื่อง “พลังจิตตานุภาพ”
จากนั้นท่านก็ได้นำแนวทางคำสนอของท่านเข้ามาเผยแผ่ในประเทศไทยอีก กลับเข้ามาในประเทศไทย เพราะฉะนั้น ที่ครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่น ท่านก็สอนมีมากมาย มีหลวงปู่มั่น หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่เทศน์ หลวงปู่ต่างๆ แต่ท่านก็ไม่ได้จัดเป็นระบบ ระเบียบ มีแต่สั่งสอน ใครเข้ามาก็สอนให้ท่านผู้นั้น แต่หลวงปู่วิริยังค์ของเรา จะว่าไปแล้ว ท่านก็อาศัย “เทคโนโลยี” สมัยใหม่ เข้ามาช่วย จากนั้นท่านก็ผสมโรงเข้ามา จากนั้นท่านก็ตั้งเป็นคณาจารย์ แล้วก็ลูกศิษย์ ที่เข้ามาศึกษาและก็แนะนำสั่งสอนบอกกล่าว หลังจากนั้นลูกศิษย์แต่ละท่านก็กระจายออกไป แล้วก็ตั้งเป็นชมรมขึ้นมา แต่ละจังหวัด อำเภอ หมู่บ้าน และแต่ละวัด ก็รู้สึกว่า ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
.jpg)
ที่อาตมาภาพก็เป็นพระหนุ่มพระป่า อยู่ในป่าดงพงไพร พอติดตามผลงานของท่านหลวงปู่อยู่ตลอด จากนั้นท่านก็ได้ไปต่างประเทศ ชาวต่างประเทศก็เป็นที่ยอมรับ ทั้งที่ท่านก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ลูกศิษย์ลูกหาของท่านเป็นผู้แนะนำ ถ้าหากว่าท่านพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง พระพุทธศาสนาก็คงจะก้าวไกลในต่างแดน แต่คราวนี้ก็เอาเถอะ ได้ขนาดนี้ก็นับว่า เป็นมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง จากนั้นท่านก็ได้มาแนะนำสั่งสอนเรื่อง “สมาธิ” ให้กับพี่น้องประชาชน ศรัทธาญาติโยมได้ศึกษาตามแนวแถวพระพุทธศาสนา และก็ตามแนวแถวของหลวงปู่มั่น ที่ท่านแนะนำ ที่ท่านได้รับการอบรมาจากหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นของเรา ตัวหลวงพ่อฯเองในฐานะที่เป็นเหลนที่ศึกษาอยู่กับองค์หลวงปู่หล้า อย่างที่โฆษกได้พูดไว้ตั้งแต่เป็นสามเณร ตั้งแต่ปี 2500 เป็นสามเณรอยู่ 8 ปี
จากนั้นก็มาอุปสมบทปี 8 จนมาถึงบัดนี้ จนมาถึงปี 64 ก็เป็นเวลานับยาวนานทีเดียวชีวิต ทั้งชีวิตของอาตมาภาพและของหลวงพ่อฯ ฝากฝังไว้ในพระพุทธศาสนายาวนานทีเดียว
หลวงพ่อฯเองทั้งศึกษาในพระไตรปิฏกด้วย ทั้งศึกษาในหลักธรรมคำสอนที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ฯแนะนำสั่งสอน ทั้งลงมือประพฤติปฏิบัติด้วยตนเองด้วย หลายๆอย่าง จากนั้นหลวงพ่อฯจึงได้มาแนะนำบอกกล่าว ให้กับคณะศรัทธาญาติโยมทั้งหลาย เพื่อเป็นแนวทาง ส่วนหนึ่ง แต่มีหลายๆแนวทาง เพราะหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า 84,000 พระธรรมขันธ์ แต่อาตมาภาพก็ในแนวหนึ่ง ที่ได้ศึกษามา ได้ปฏิบัติ ได้ผลอย่างไร ก็จะมาแนะนำบอกกล่าว และ ก็พร้อมกันองค์หลวงปู่ของเราก็ได้ปูพื้นฐานแล้ว เรื่อง “สมาธิ” ถ้าพวกเราทุกคน จิตใจมี “สมาธิ” มี “สติสัมปชัญญะ” ถ้าหากว่าคนเรามีสติสัมปชัญญะอยู่กับตนเอง คนนั้นก็จะมีสมาธิ ถ้าหากว่าคนเราไม่มีสติสัมปชัญญะอยู่กับตนเอง สติเลื่อนลอย ไม่อยู่กับตัวแล้ว คนนั้นจะไม่มีสมาธิ เมื่อไม่มีสมาธิแล้ว จะมีปัญญา จะกลั่นกรอง ไตร่ตรอง ด้วยเหตุผลอย่างอื่นก็คงเป็นไปไม่ได้อีก เหมือนกัน เพราะมันเกี่ยวเนื่องกัน
เพราะฉะนั้น หลวงปู่ฯท่านแนะนำเรื่อง “สมาธิ” สมาธิเป็นกรอบว่า คนเรานี่ ก่อนที่จะทำอะไรได้ก็ต้องเป็นผู้มีสมาธิ มีจิตใจ ถ้าหากว่าคนไม่มีสมาธิ ไม่มีพลัง จิตใจรวนเร จิตใจฟุ้งซ่าน จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เหมือนกับคนกินเหล้า เหมือนกับเป็นบ้า เหมือนอย่างนั้น พวกเราจะให้คิด ไตรตรอง ด้วยเหตุ ด้วยผล ด้วยสติและปัญญาก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุใด เพราะว่า สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นี่เรื่อง “สติ” เป็นเรื่องจำเป็น และ เป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก ในหลักของพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นหลวงปู่ฯท่านเข้ามาจุดนี้ ท่านไม่ได้พูดเรื่องศีลน่ะหลวงปู่ฯของเรา ท่านเน้นเรื่อง “พลัง” พลังสมาธิ ท่านเน้นเรื่อง “สมาธิ” ทีเดียวเลย และ ตามจริงก็เกี่ยวเนื่องกันน่ะ ศรัทธาญาติโยมลูกหลาน แต่ท่านก็เอาจุดหนึ่ง ท่านจะพูดเรื่องิ “ศีล” เรื่องการเป็นอยู่ก็จะทำให้เนิ่นช้า ท่านก็เลยเอาแต่เรื่อง “สมาธิ” ถ้าพูดเรื่องการเป็นอยู่เบื้องต้น ก็อาจจะทำให้พวกเราไม่ค่อยสนใจ แต่พอเรื่องพลัง “สมาธิ” อันนี้ล่ะ เป็นที่สนใจ และ จริงๆ มันก็เกี่ยวเนื่องกันมาตั้งแต่ทีแรกน่ะ ลูกหลานศรัทธาญาติโยมทั้งหลาย
หลักของพระพุทธศาสนา เพราะครั้งพระพุทธกาล ในครั้งพระพุทธเจ้า คนทั้งหลายก็สงสัยสนเท่ห์เหมือนกันว่า พระพุทธเจ้ามีแต่สอนเรื่องสมาธิ มีแต่เรื่องปัญญา มีแต่เรื่องตัดกิเลส ชำระกาย ชำระใจ ให้หมด กำจัดกิเลส ท่านไม่เห็นพูดเรื่องการเป็นอยู่เบื้องต้น ท่านคงไม่รู้ เพราะท่านเป็นกษัตริย์ จากนั้นท่านก็บำเพ็ญ ท่านจึงไม่รู้ แต่ว่าท่านรู้เรื่องตัดกิเลสเท่านั้น ชำระกิเลสเท่านั้น พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า “เรารู้ เราเป็นสยัมภู” รู้หมดทุกอย่าง ทั้งเบื้องต้น ทั้งท่ามกลาง ทั้งเบื้องสูง เราจะสอนให้ฟัง เบื้องต้น การเกิดมาเป็นมนุษย์ คนจะเกิดมาเป็นคนดีได้ เป็นมนุษย์ที่ดีได้ ต้องปฏิบัติตนดังต่อไปนี้ หนึ่ง อย่าดื่มน้ำเมา สอง อย่าเที่ยวกลางคืน สาม อย่าเที่ยวดูการละเล่น สี่ อย่าเล่นการพนัน ห้า อย่าคบคนชั่วเป็นมิตร หก อย่าเกียจคร้านทำการงาน มี 6 ข้อน่ะ หนึ่ง ดื่มน้ำเมา สอง เที่ยงกลางคืน สาม อย่าเที่ยวดูการละเล่น สี่ อย่าเล่นการพนัน ห้า คบคนชั่วเป็นมิตร หก เกียจคร้านทำการงาน มี 6 ข้อ นี่แหละ
.jpg)
สำหรับพระพุทธศาสนา ท่านปูพื้นคนจะเป็นคนดีได้ มีอยู่เบื้องต้น ถ้าคนดื่มน้ำเมา ขาดสติแล้ว จะเป็นคนดีไม่ได้ หลังจากนั้น คนเที่ยวกลางคืน สมัยก่อนไม่มีไฟฟ้า ไปที่ไหนก็เห็นแต่คนๆนี้น่ะ ด้อมๆมองๆไปเจอะที่ไหน ผลที่สุดเขาก็เลยสงสัยว่า ลักขโมยคอยโจรลักของขายที่ไหน เขาก็ว่าอย่างนี้น่ะ ผลที่สุดก็เลยเขาจับ ขึ้นโรงขึ้นศาลตลอด นี่ เที่ยวกลางคืน เที่ยวดูการเล่น คล้ายๆว่า ได้ยินเสียงร้องรำทำเพลงที่ไหนไม่ได้ ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ถึงจะใกล้จะไกล ปีนไปทั้งหมด ไม่รับผิดชอบในครอบครัว ไม่รับผิดชอบในทรัพย์สมบัติ เป็นพวกรวนแร แต่ผลที่สุด อันนี้ก็คือ เล่นการพนัน เจ๊งอยู่แล้ว ถึงหนทางแห่งความฉิบหาย คบคนชั่วเป็นมิตร คล้ายๆกับว่า คนที่เล่นการพนัน หรือว่าคนขายยาบ้า ยาม้า แต่เราไม่รู้จักเขานี่ แต่เราก็เข้าไปคบไปค้าสมาคมเป็นมิตรเป็นเพื่อน ผลที่สุด เขาไปขายยาบ้า เราก็ไปนั่งรถกับเขา และ ผลที่สุด ตำรวจจับได้ เราก็ติดคุกไปกับเขา เพราะเหตุคบคนชั่วเป็นพรรคเป็นพวก เป็นเพื่อนเป็นฝูง อันตราย
ข้อที่หก เกียจคร้านทำการงาน คนโง่ คนขี้เกียจหาทรัพย์ไม่ได้ นี่ล่ะหลักของพระพุทธศาสนา คนมีปัญญา คนขยัน ย่อมหาทรัพย์ได้ อันนี้ล่ะ คือ หลักธรรมเบื้องต้น พื้นฐานทีแรก เที่ยวกลางคืน ดูการละเล่น ทำให้เสียหาย แต่อันทีจริง เที่ยวดูการเล่นทุกวัน ก็ย้อนยุคซะหน่อยน่ะ แต่เที่ยวดูการเล่นทุกวันนี้ ลูกหลานเหลนทั้งหลาย
บางคนก็เล่นกับโทรศัพท์ตนเองทั้งวี่ทั้งวันจนลืมการลืมงานตัวเองก็มีเหมือนกัน จนลืมหน้าที่การงาน อันนี้ก็น่าเป็นห่วงอีกเหมือนกัน ถ้าดูพอประมาณก็จะเป็นประโยชน์ ถ้าดูเกินไปก็เสียประโยชน์อีกเหมือนกัน นี่ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน อันนี้คือ ปูพื้นฐานสำหรับฆราวาสญาติโยม
ถ้าขยับขึ้นมีอีก เป็นคนขึ้นมีอีก ขยับที่สองขึ้นมาอีก พระพุทธเจ้าก็สอนว่า ให้มีประชาธิปไตยน่ะ ให้เคารพสิทธิซึ่งกันและกันน่ะ อย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกันน่ะ มนุษย์อยู่ด้วยกันต้องมีสิทธิต้องมีศักดิ์ศรี ต้องมีความเคารพซึ่งกันและกัน คือ ศีล 5 พวกเราดูให้ดีก็แล้วกันน่ะ หลวงพ่อฯว่า พระพุทธเจ้าของเราเป็นประชาธิปไตยน่ะ ข้อที่
1 อย่าคิดฆ่ากัน ถ้าพวกเราอยู่ด้วยกัน ถ้าคิดฆ่ากันแล้วจะหาความสงบสุขไม่ได้ เมื่อคิดฆ่ากัน รังแรกัน เบียดเบียนกัน ก็จะอยู่ด้วยกันด้วยความลำบาก
ข้อที่ 2 อย่าคิดขโมยกัน ถ้าเราไปขโมยพ่อแม่พี่น้องของเขามาเรียกค่าไถ่ เสียหายไหม ถ้าเขาทำให้กับเราล่ะ เรามีความรู้สึกเสียใจ ถ้าเราไปทำกับเขา เขาเสียใจ
ข้อที่ 3 กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี สามีภรรยาลูกหลานของใครของเขา เขาก็รัก สงวนหวงแหน ถ้าเราไปล่วงล้ำของเขา เขาเสียใจไหม เสียใจ ถ้าเขามาทำให้กับเราล่ะ เราเสียใจใช่ไหม ใช่
ข้อที่ 4 มุสาวาทา เวรมณี โกหกต้มตุ๋นหลอกลวงผู้อื่นเขา ถ้าเราไปทำให้กับเขา เขาเสียใจ ถ้าเขามาทำให้กับเราล่ะ เราก็เสียใจ เมื่อเราไปต้มตุ๋นหลอกลวงเขา เขียนเช็คเด้งให้เขา ย้อมตะกั่วขายให้เขา เอาก้อนหินว่าเป็นเหล็กไหลอย่างนี้เป็นต้น ขายราคาแพงๆ แต่พอเสร็จแล้ว ก็เสียใจ
ข้อที่ 5 สุราเมระยะ มัชชะ ปะมา การดื่มสุราและเมรัย เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ถ้าคนดื่มสุราไปแล้ว ขาดสติ เมื่อขาดสติแล้ว ทำความชั่วได้ทุกอย่าง จะฆ่าใครก็ได้ จะขโมยใครก็ได้ จะละลาบละล้วงกับภรรยาใครก็ได้ จะโกหกต้มตุ๋นใครก็ได้ พอขาดสติ ถ้าเราลากไปศีล 5 ของพระพุทธเจ้า ถ้าเรานึกย้อนดูให้ดีแล้ว เอาใจเขามาใส่ใจเรา เอาใจเรามาใส่ใจเขา อาตมาในฐานะที่เป็นหลวงปู่ หลวงตา อยู่ในป่าดงพงไพรมาพิจารณาทบทวน กลั่นกรองไตร่ตรองดูแล้วว่า ศีล 5 ของพระพุทธเจ้า เป็นประชาธิปไตย ถ้าผู้ใดทำ ปฏิบัติได้อย่างนี้แล้ว อยู่ด้วยกันมากน้อยก็อยู่ด้วยกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข เท่านั้นเอง อันนี้ คือ กฎระเบียบที่อยู่ด้วยกัน... - 003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี