แพทย์ มข.เผยกินดิบเสี่ยงตาบอด แนะกินสุกเพื่อป้องกันโรคพยาธิขึ้นตา

แพทย์ มข.เผยกินดิบเสี่ยงตาบอด แนะกินสุกเพื่อป้องกันโรคพยาธิขึ้นตา

วันอาทิตย์ ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565, 21.12 น.

จากกรณีที่มีการพบผู้ป่วยโรคพยาธิขึ้นตา จนทำให้ตาบอดที่จังหวัดพิษณุโลก และล่าสุดมีผู้ป่วยโรคพยาธิปอดหนู หรือพยาธิหอยโข่งขึ้นตา ได้ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยมีนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง และด้านจักษุให้การตรวจรักษา

ศ.นพ.วีรจิตต์ โชติมงคล เปิดเผยว่า “โดยธรรมชาติวงจรชีวิตของพยาธิชนิดนี้ เมื่อเรากินตัวอ่อนเข้าไป ตัวอ่อนนั้นจะเข้าไปอยู่ในลำไส้ของเรา ทะลุลำไส้เข้าไปในกระแสเลือด และเจริญเติบโตที่สมอง อาการของโรคนี้จะมีอาการปวดศีรษะอย่างมากอย่างที่ไม่เคยปวดมาก่อน กินยาแก้ปวดก็ไม่หาย คนไข้ก็จะมาโรงพยาบาล การปวดศีรษะมีสาเหตุมากมาย แต่หากซักประวัติพบว่าคนไข้มีประวัติการกินของดิบ ประเภทหอยน้ำจืดดิบ เช่น หอยจุ๊บ หอยโข่ง หอยเชอรี่ กุ้งฝอยดิบ หรือตะกวด ซึ่งเป็นพาหะของพยาธิมีตัวอ่อนของพยาธิระยะติดต่ออยู่ เมื่อตรวจร่างกายพบอาการอักเสบที่เยื่อหุ้มสมอง ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการคอแข็ง ก็จะวินิจฉัยโดยการเจาะน้ำไขสันหลัง และหากพบการอักเสบที่เข้าได้กับโรคนี้ จะมีการตรวจเลือดหาภูมิต้านทานของพยาธิตัวนี้ต่อไป ซึ่งนานๆ ครั้งจึงจะพบเคสที่มีอาการรุนแรง ที่พยาธิได้ทำลายสมองจนคนไข้เกิดอาการโคม่าและเสียชีวิต ส่วนกรณีที่พยาธิไปปรากฏอยู่ในอวัยวะอื่น เช่น ตา นานๆ จะเจอเคสแบบนี้ เพราะการชอนไชไปที่อวัยวะอื่นๆ ไม่ใช่วงจรชีวิตของพยาธิ แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้”


“จากผลงานวิจัยจากโรงพยาบาลศรีนครินทร์ พบว่าการให้ยากลุ่มสเตียรอยด์ ในระยะเวลาประมาณ 2 อาทิตย์ จะช่วยลดการอักเสบ และทำให้ลดอาการปวดศีรษะได้อย่างชัดเจน วิธีการนี้เป็นการรักษาที่เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับกันทั่วโลก”

ด้าน รศ.พญ.สุธาสินี สีนะวัฒน์ กล่าวถึงกรณีการติดเชื้อพยาธิในลูกตาในพื้นที่ภาคอีสานว่า “การติดเชื้อพยาธิในลูกตามีหลายชนิด แต่ชนิดที่พบมากที่สุด คือพยาธิหอยโข่ง พบมานานประมาณ 30 ปีแล้ว โดยเฉลี่ยช่วงหลังๆ มาจะพบกรณีศึกษาประมาณ 2 รายต่อปี จากทั่วภาคอีสาน เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ก็พบเคสที่เจอตัวพยาธิหอยโข่งทางด้านหน้าของลูกตา ซึ่งโรงพยาบาลศรีนครินทร์ มีรายงานการพบจำนวนผู้ป่วยมากที่สุดในโลก โดยมีการตีพิมพ์ผลงานวิจัยแพร่หลายในฝั่งตะวันตกโดยมีการติดต่อขอรูปจากเรา เพื่อนำไปลงในตำราทางวิชาการ” 

“พยาธิในลูกตาสามารถพบพยาธิได้หลายชนิด แต่ที่พบมากที่สุด คือ พยาธิหอยโข่ง และเคสที่เพิ่งเจอล่าสุดก็เป็นพยาธิหอยโข่งเช่นกัน เป็นคนไข้ที่ส่งตัวมาจากจังหวัดเลย ซึ่งประมาณ 80% ของคนไข้จะมาด้วยอาการตามัว และหากเราตรวจร่างกายโดยการตรวจตา ดูลักษณะของพยาธิจะสามารถบอกได้ว่าเป็นพยาธิชนิดใด และส่วนใหญ่พยาธิที่ชอบชอนไช นอกจากพยาธิหอยโข่งแล้ว จะเป็นพยาธิตัวจี๊ด พยาธิตัวตืด แต่จะเจอได้น้อยกว่าพยาธิหอยโข่งมาก ซึ่งเกิดจากการรับประทานอาหารดิบ  ตัวพยาธิตัวนี้นอกจากพบในภาคอีสานแล้ว รายงานที่จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนใหญ่เคสที่พบ คือ มีพยาธิในตาแค่ตัวเดียว แต่ก็เคยมีรายงานว่าพบพยาธิสองตัวในตาเช่นกัน ซึ่งมีแค่เคสเดียวในโลก”

สำหรับพยาธิหอยโข่ง เป็นพยาธิชอบเนื้อเยื่อที่เป็นระบบประสาท ดังนั้น ผู้ป่วยจะมาด้วยอาการของเยื่อหุ้มสมองอักเสบมากกว่าตา การที่พยาธิมาที่ตาได้ คือจะชอนไชมาทางเยื่อหุ้มเส้นประสาทตา แล้วเข้ามาในลูกตา ซึ่งเชื่อว่าเป็นทิศทางของพยาธิที่เข้ามาในลูกตามากที่สุด ซึ่งพบน้อยมาก ประมาณสัก 1-1.1 % ของผู้ป่วยที่มีเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และจากการรวบรวมข้อมูลมา กว่า 20 ปี เราพบว่ามีคนไข้น้อยมากที่จะมีประวัติเรื่องของปวดศีรษะ หรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบนำมาก่อน  และมีคนไข้เพียงรายเดียวเท่านั้นที่พบว่าคนไข้มีเยื่อหุ้มสมองอักเสบในขณะที่เราวินิจฉัยว่าพบพยาธิที่ลูกตา คือ ขึ้นอยู่กับว่าพยาธิจะไปที่ไหนมากกว่า ส่วนความรุนแรงมีได้ตั้งแต่น้อยมากจนถึงผู้ป่วยมีอาการตาบอด และคาดว่าอาจจะขึ้นอยู่กับขนาดของพยาธิด้วย และก็ขึ้นอยู่กับว่าพยาธิชอนไชมาแค่ไหนแล้ว ในบางบางเคส เมื่อไข้มาถึงเราก็เห็นว่ามีร่องรอยของการชอนไชของพยาธิในลูกตามากแล้ว ขั้วประสาทตาซีดแล้ว นั่นแสดงว่าคนไข้เป็นมานานแล้ว แต่ในขณะที่บางรายคนไข้เห็นแค่รอยเงาดำ ซึ่งเป็นลักษณะของการเคลื่อนไหวของพยาธิในลูกตา เมื่อคนไข้เขาสังเกตว่าเห็นเงาดังกล่าว ซึ่งคนไข้ยังไม่มีอาการตามัว และมาพบแพทย์เร็ว ก็จะทำให้ผลการรักษาค่อนข้างดี”

“สำหรับการรักษา ใช้วิธีการผ่าตัดเอาออก เพราะว่าตัวพยาธิเองหากมันตายก็จะก่อให้เกิดการอักเสบทำให้เนื้อเยื่อในตามีความเสียหาย แต่บางกรณี พยาธิอยู่ใต้จอตา การผ่าตัดจะต้องกรีดจอตาเพื่อหยิบพยาธิออกมา แต่การผ่าตัดก็จะมีความเสี่ยงมากกว่า ดังนั้นเราจะใช้วิธีการยิงเลเซอร์ร้อน ซึ่งเป็นเหมือนกับการเผาพยาธิ และเป็นวิธีที่แนะนำสำหรับกรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดเอาออกได้ หลังการรักษาผู้ป่วยประมาณ 70% การมองเห็นไม่ดีขึ้นแม้จะรักษาแล้ว ไม่ว่าจะด้วยการยิงเลเซอร์ ด้วยการผ่าตัด หรือว่าการรับประทานยาถ่ายพยาธิ ซึ่งการรับประทานยาถ่ายพยาธิไม่ได้เป็นการรักษาพยาธิที่เรามองเห็น เพราะเมื่อเราทานยาถ่ายพยาธิไปแล้วนั้น พยาธิจะไม่ได้ตายทันที จะต้องเอาพยาธิออกให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้พยาธิเข้าไปในตาอีกข้างหนึ่ง หรือเข้าไปในอวัยวะอื่นๆ” รศ.พญ.สุธาสินี สีนะวัฒน์ กล่าวในที่สุด

ศ.นพ.วีรจิตต์ โชติมงคล กล่าวทิ้งท้ายด้วยความห่วงใยว่า “ขอให้หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ ที่มีตัวอ่อนของพยาธิตัวนี้อยู่จากพาหะคือ หอยน้ำจืด หอยจุ๊บ หอยขม หอยเชอรี่ และอื่นๆ จำพวกกุ้งฝอยดิบ ซึ่งการรับประทานอาหารสุกจะมีประโยชน์ในการป้องกันการติดเชื้อจากพยาธิหรือเชื้อโรคตัวอื่นๆ จากการกินอาหารดิบด้วย”

สมใจ นามสุดตา

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top