จากวิกฤตไวรัสโคโรนา 2019 ระบาดอย่างหนักเกือบจะเข้าปีที่ 3 พบข้อมูลล่าสุดสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) เปิดเผยถึงสถานการณ์การว่างงานในไตรมาส 4 ของปี 2564 พบผู้ว่างงานจำนวนทั้งสิ้น 6.3 แสนคน ที่สำคัญด้านข้อมูลที่น่าตกใจคือ ตัวเลขการว่างงานของบัณฑิตจบใหม่มีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่โควิดแพร่ระบาด
โดยพบผู้ว่างงานส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่จบการศึกษาในสาขาด้านสังคมศาสตร์ ธุรกิจ การบริหาร และพาณิชย์ ทำให้ตัวเลขการว่างงานของบัณฑิตจบใหม่เป็นที่น่าจับตาอย่างมาก แต่ก็มีบัณฑิตบางส่วนที่สามารถสมัครงานและหางานทำได้ในช่วงภาวะวิกฤตโรคระบาดทั่วโลกในขณะนี้
นางสาวลิเลียน ไออันซอน บัณฑิตสาขาการบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เล่าว่า ตนเองได้งานทำในบริษัทเอกชนขนาดใหญ่จังหวัดสมุทรสาคร ช่วงสถานการณ์ภาวะวิกฤตโรคระบาดแบบนี้และสภาวะเศรษฐกิจขาลงอย่างเห็นได้ชัดเจน โอกาสที่บัณฑิตจบใหม่จะได้ก้าวเข้าสู่การทำงานจริงก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก เพราะทุกบริษัทหรือองค์กรต้องการรัดเข็มขัดของตนเอง แต่ส่วนตัวก็สามารถสมัครงานทางออนไลน์และสัมภาษณ์รูปแบบออนไลน์สำเร็จจนได้งานทำจริง
สิ่งที่อยากแนะนำ คือ การเขียนประวัติ หรือ Resume ส่งเพื่อสมัครงาน ควรทำเรซูเม่ให้มีความสอคดล้องกับงานทางด้านต่างๆ โดยที่ควรต้องไปศึกษาว่างานด้านที่จะสมัครเข้าทำงานนั้น บริษัทเน้นทักษะอะไรบ้าง สิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งที่เรามีความสามารถจริงๆ การเขียนเรซูเม่มีข้อมูลพื้นฐานส่วนตัว ประวัติการศึกษา หากมีประสบการณ์ที่เคยได้ไป Work and Travel ที่ต่างประเทศก็สามารถนำประสบการณ์ตรงนี้ใส่เข้าไปในเรซูเม่ได้ด้วย
นอกจากนี้ Hard Skills หรือความรู้และทักษะที่ใช้ในการทำงาน กับ Soft Skills เป็นทักษะที่ใช้ในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เป็นสิ่งสำคัญมากที่ควรใส่ลงไปในเรซูเม่ เพราะจะทำให้องค์กรที่เราสนใจจะสมัครนั้น รู้จักตัวตนเรามากขึ้นว่ามีทักษะอะไรบ้างที่ตรงตามที่บริษัทต้องการ
ที่สำคัญในส่วนของจุดอ่อนตนเองไม่ควรเขียนลงไปในเรซูเม่ แต่หากวันที่สัมภาษณ์งานนั้นมีการถามถึง ก็ค่อยนำเสนอจุดอ่อนของตนเองคืออะไร และมีวิธีการแก้ไขจุดอ่อนตรงนี้อย่างไร
นางสาวลิเลียน ไออันซอน เล่าต่ออีกว่า สิ่งสำคัญในวันที่สัมภาษณ์งาน ทุกคนต้องมีความมั่นใจมาก่อนเป็นอันดับแรก ต้องพูดเสียงดังและชัดเจน เพื่อให้ผู้สัมภาษณ์รู้สึกว่าทุกอย่างที่เราเขียนลงไปในเรซูเม่สามารถทำได้จริง และต้องมีการมองตากรรมการตลอดแบบไม่หลบสายตา เพื่อที่ผุ้สัมภาษณ์จะได้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเรา
รวมทั้งการแต่งตัวที่สุภาพและให้เกียรติสถานที่ รวมถึงเอกสารที่ต้องเตรียมไปให้พร้อมอย่างตกหล่นเด็ดขาด ถ้าคนที่ไม่กล้าแสดงออกอยากแนะนำให้ฝึกฝนตัวเองก่อนไปสัมภาษณ์สัก 2 - 3 วัน โดยการพูดหน้ากระจก อาจจะให้เพื่อนหรือคนในครอบครัวรับบทเป็นคนสัมภาษณ์เรา เพื่อสร้างความเคยชินกับการพูดคุยมากขึ้น และกล้าที่จะพูดมากขึ้น ยุคโคโรนา 2019
หากเป็นการสัมภาษณ์ออนไลน์ให้แต่งตัวเหมือนเราเดินทางไปสัมภาษณ์ที่องค์กรนั้นจริงๆ เพราะเป็นการทำให้เราดูมืออาชีพมากที่สุด และเสริมสร้างความมั่นใจให้กับตัวเราเอง ทำให้เรากล้าที่จะพูดมากขึ้นตอบคำถามได้ชัดเจนมากขึ้น ควรเช็คสัญญาณอินเตอร์เน็ตให้ชัดเจนก่อนเข้าเวลาสัมภาษณ์งานจริงล่วงหน้าอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
สัมภาษณ์ออนไลน์ยากกว่าออฟไลน์ ออฟไลน์ยังได้เจอหน้ากันถ้าถูกชะตาก็อาจจะโชคดีได้งานทำ แต่ถ้าออนไลน์เหมือนเรานั่งมองผ่านจอทำให้การสื่อสาร และการมองตากันค่อนข้างยาก แต่ออฟไลน์ผู้สัมภาษณ์จะสามารถเห็นพฤติกรรมได้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นจริง
"แต่ในส่วนของคำถามนั้นเหมือนกันทุกที่ ถ้าให้เลือกอยากสัมภาษณ์แบบออฟไลน์มากกว่าเพราะรู้สึกว่าเรามั่นใจในการสัมภาษณ์แบบออฟไลน์มากกว่า อยากให้ทุกคนมั่นในใจตัวเองว่าเมื่อเราเข้าไปทำงานแล้ว สามารถที่จะเรียนรู้และทำงานให้ออกมาดีได้ โดยไม่ต้องกลัวหรือกังวล ทุกอย่างก็จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี และทำให้เรามีโอกาสที่ดีโดยไม่เสียโอกาสนั้นไปในช่วงภาวะวิกฤตโรคระบาดครั้งนี้" นางสาวลิเลียน กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี