"เกษตรพอเพียง" ด้วยวิถีเกษตรอินทรีย์ ที่นำมาใช้กับในเมืองใหญ่นั้น มีผู้ที่ทำแล้วประสบความสำเร็จ เห็นผล คือ นางสาววิภาพร เสวันนา หรือ "ปุ้มปุ้ย" โดยเรื่องราวของเธอนั้นได้ถูกนำบอกเล่าผ่านเพจ "สวนผักคุณตา เกษตรพอเพียง" ซึ่งมีคุณพ่อเป็นแกนหลักในการใช้พื้นที่สาธารณะเพียง 300 ตารางวา ในซอยรามคำแหง 162 หรือ ซอยมิสทีน เนรมิตให้เป็นสวนผักกลางกรุง และปัจจุบันวิภาพรต่อยอดสวนผักในเมือง ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณพ่อทำมาแต่เดิม ออกมาสู่สวนผักกลางเมือง ในจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยอยู่ห่างอำเภอเมืองอุตรดิตถ์เพียง 15 กิโลเมตร
"หลังจากที่ปุ้มปุ้ยมีประสบการณ์การปลูกผักที่พื้นที่ร่มเกล้าใน กทม.แล้ว ก็พบว่า การเริ่มปลูกผักจากจุดเล็กๆนั้น ทำให้การปลูกผักมีโอกาสที่จะขยายพื้นที่ออกไปได้มากกว่า และ ผู้ปลูกก็มีกำลังใจ โดยในปลายปี 2563 พ่อของปุ้มปุ้ยย้ายมาที่อุตรดิตถ์ ก็ใช้พื้นที่ 2 ไร่ปลูกเกษตรแบบผสมผสาน ต่อมาในปีนี้ขยายเป็น 10 ไร่ ซึ่งแบ่งเป็นพื้นที่ปลูกป่าไม้ยืนต้น เช่น ไม้ยางนา , ไม้สัก และ ไม้พะยูง รวมทั้งมีในส่วนของพื้นที่ปลูกไม้ผล เช่น มะม่วง และ ผักสวนครัว เช่น ฟักทอง , พริก และ บวบ นอกจากนี้ยังมีพื้นที่แบ่งปลูกข้าวไว้ทานเอง โดยผลผลิตทั้งหมดในช่วงแรกก็ได้แจกจ่ายให้คนในหมู่บ้าน ตอนนี้ก็เก็บขายมีรายได้ทุกวัน และ ไม่ต้องเสียเงินซื้อกับข้าวในแต่ละวัน เพราะในสวนมีหมดทุกอย่าง" นางสาววิภาพร เล่าให้ฟังอย่างเป็นกันเอง
นางสาววิภาพรเล่าอีกว่า ในช่วงแรกที่มาทำเกษตรอินทรีย์ที่อุตรดิตถ์ พ่อซึ่งเป็นต้นแบบของการปลูกผักในเมือง ได้เริ่มปลูกกล้วย ซึ่งเป็นต้นไม้ที่ให้ผลง่าย ให้ความชุ่มชื่นกับดิน โดยในช่วงแรกเมื่อได้ผลผลิตก็มีการแจกให้กับคนหมู่บ้าน จากเดิมที่เคยล้มเหลวจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยว เมื่อปรับมาทำเกษตรผสมผสาน ทำให้มีผลผลิตแจกให้คนในหมู่บ้าน และ มีพอขายพอทานในเวลานี้
"พอกลับมาอยู่ที่อุตรดิตถ์ สภาพอากาศที่นี่ดีมาก สภาพแวดล้อมต่างๆ ทำให้เรามีความสุข และ มองว่าการทำเกษตรสำหรับคนยุคใหม่นั้น ทำได้ และ อยู่ได้ แต่ต้องอดทน เพราะปลูกไปแล้ว จะต้องรอให้ได้ผลผลิตนั้น ใช้เวลาอย่างน้อย 3 ปี จึงจะเห็นผล และ ก็พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่ยังมองไม่เห็นโอกาสทางการตลาดทั้งในทางออนไลน์และออฟไลน์ แต่ก็ทนปลูกพืชเกษตรและรอให้พ่อค้าคนกลางเข้ามาซื้อ ซึ่งก็จะถูกกดราคา" นางสาววิภาพร เล่าให้ฟังถึงการเป็นเกษตรกรในยุคดิจิตอล
ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2563 วิภาพรกลับบ้านมาอยู่ จ.อุตรดิตถ์ ด้วยเหตุผลที่สำคัญคือ ทั้งพ่อและแม่ป่วยเป็นโรคโควิด ทำให้เธอต้องนำหลักการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่ได้รับอบรมมาจากแพทย์วิถีธรรมมาใช้ดูแลสุขภาพของพ่อ โดยการนำสมุนไพรที่อยู่ในแปลงเกษตร มาทำสูตรยา 7 นางฟ้า คือ ลูกใต้ใบ, ขิง, ข่า, ตะไคร้, ใบมะกรูด, หอมแดง, กระชาย และใช้มะขามเปียกมาต้มรวมด้วยกัน ซึ่งเป็นสูตรดูแลพ่อให้มีร่างกายฟื้นกลับมาภายใน 14 วันและเป็นช่วงเวลากักตัว
หลังจากนั้นอีก 3-5 วันใช้สูตรถอนพิษด้วยการทำน้ำด่างจากใบย่านางและผงถ่าน โดยเธอบอกว่า พื้นฐานการทำเกษตรนั้นเชื่อมโยงกับทุกเรื่องราวในชีวิต และนำมาประยุกต์ใช้กับการดูแลสุขภาพของพ่อและแม่ได้ รวมทั้งพื้นฐานการทำเกษตร การรู้เรื่องเกษตรนั้นทำให้เธอไม่ตกอยู่ในสภาวะความกลัวโรคโควิด และทำให้เธอดูแลสุขภาพของตัวเองจนทำให้ไม่ติดโควิด ทั้งที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย
สำหรับพื้นฐานเดิมนั้นวิภาพรจบการศึกษาปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ทำให้ปัจจุบันวิภาพรเป็นประธานเครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติ จ.อุตรดิตถ์ มีสมาชิก 123 คน มีทีมงานกว่า 20 คน ขับเคลื่อนงานศาสตร์พระราชาในโซนภาคเหนือ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2565 พระวีระยุทธ์ อภิวีโร หรือครูบาจ๊อก พระนักพัฒนา วัดพระบรมธาตุดอยผาส้ม อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์ปฏิบัติการเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ (บวร) ได้เดินทางลงพื้นที่ตรวจแปลงเกษตรในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง หนึ่งในพื้นที่คือ อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์
โดยมีเครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติพื้นที่ภาคเหนือเป็นผู้ประสานงาน ซึ่งนางสาว วิภาพรเล่าว่า ผลการเยี่ยมชมพบว่าเกษตรกรบางส่วนประสบความสำเร็จ เพราะมีการนำบันได 9 ขั้น ของในหลวง รัชกาลที่ 9 ไปใช้ แต่ที่ไม่ประสบความสำเร็จในการทำเกษตร เพราะยังไม่เข้าใจหลักบันได 9 ขั้น และ อยู่ในช่วงเริ่มต้นทำเกษตรกรรมเพียง 1-2 ปีแรกเท่านั้น
"สำหรับบันได 9 ขั้นของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นบันไดก้าวสู่ความพอเพียง และเป็นฐานรากของ "เศรษฐกิจพอเพียง" โดยเกษตรกรที่เดินตามศาสตร์พระราชาในการดำเนินชีวิตแบบพอเพียงนั้น ต้องทำความเข้าใจในหลักบันได 9 ขั้น ได้แก่ พอกิน, พอใช้, พออยู่, พอร่มเย็น, บุญ, ทาน, เก็บ, ขาย และข่าย
นางสาววิภาพรทิ้งท้ายเป็นกำลังใจให้กับผู้อ่านว่า ตนเองนั้นมีความสนใจปลูกผักทานเองมาเป็นเวลา 10 ปี ก็เห็นผลดีกับตนเอง เพราะฉะนั้น หากทุกคนหันมาดูแลตัวเองด้วยการปลูกผักทานเอง ไม่พึ่งพาการซื้อเพียงอย่างเดียว ก็จะทำให้มีแหล่งอาหารเป็นของตนเอง และ เห็นคุณค่าของการใช้ชีวิตอยู่ในบันได 9 ขั้น ซึ่งเป็นหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง - 003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี