เหลืออีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่ 22 พ.ค. 2565 วันเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งเมืองหลวงของไทยแห่งนี้เป็นศูนย์กลางทั้งการเมือง เศรษฐกิจและสังคม จึงเป็นศูนย์รวมประชากรหลากหลายกลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มก็มีความต้องการและความคาดหวังด้านนโยบาย ต่อว่าที่ผู้ว่าฯ กทม. คนใหม่แตกต่างกัน รวมถึง “คนจนเมือง” หรือชนชั้นรากหญ้าหาเช้ากินค่ำ ดังที่ เครือข่ายสลัม 4 ภาค รวมแกนนำมาจัดแถลงข่าว (ออนไลน์) หัวข้อ “เสียงจากคนสลัม สู่นโยบายแก้ปัญหากรุงเทพฯ” เมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้
จำนงค์ หนูพันธ์ กล่าวว่า สลัม 4 ภาค เป็นเครือข่ายที่ต่อสู้ด้านสิทธิในที่ดิน ทั้งที่ดินของรัฐหรือที่ดินสาธารณะ และที่ดินของเอกชนแต่ถูกปล่อยทิ้งร้าง เพื่อหยุดยั้งการไล่รื้อหรือขับไล่คนจนออกจากเมือง โดยมีกิจกรรมรณรงค์กันทุกปีในวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นวันที่อยู่อาศัยโลก ทั้งนี้ ปัญหาสำคัญของ กทม. คือ การไปกำหนดเกณฑ์รับจดทะเบียนชุมชนไว้ที่ต้องมีอย่างน้อย 100 หลังคาเรือนขึ้นไป ทำให้มีชุมชนส่วนหนึ่งไม่อยู่ในระบบ แม้จะเป็นชุมชนที่เปลี่ยนผ่านจากการถูกไล่รื้อ สู่การแก้ปัญหาผ่านโครงการบ้านมั่งคงแล้วก็ตาม
ผลกระทบที่เห็นได้ชัดคือช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ชุมชนที่ไม่ได้จดทะบียนกับ กทม. จะไม่ได้รับทราบข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์และมาตรการต่างๆ เพราะไม่มีการเชิญตัวแทนชุมชนไปร่วมประชุม เบื้องต้นทราบว่าทาง กทม. แก้ไขระเบียบไว้แล้วว่าไม่ต้องถึง 100 หลังก็ได้ แต่ผู้ว่าฯ กทม. คนเดิมหมดวาระไปก่อน ต้องรอคนใหม่มารับตำแหน่ง จึงคาดหวังว่า เมื่อได้ผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่แล้ว จะมีการประกาศระเบียบใหม่นี้อย่างเป็นทางการโดยเร็ว เพื่อเป็นแนวปฏิบัติในการรับจดทะเบียนชุมชนกับสำนักงานเขตทั้ง 50 เขตของ กทม.
“อันนี้คือปัญหา เพราะถ้าเกิดเรารับรองชุมชนไม่ได้สิ่งแรกที่เราไม่สามารถเข้าถึงได้เลยคือข้อมูลของ กทม. ที่เขามีการประชุมกันทุกเดือน เราไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้เลย ว่า กทม. ตอนนี้ กทม. เขาทำอะไรบ้างไปถึงไหนอย่างไร ระบบต่างๆ สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน อะไรต่างๆ เหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงได้เลย ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้า ประปา ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่อยู่อาศัยเลย” จำนงค์ กล่าว
นุชนารถ แท่นทอง กล่าวว่า ในช่วงที่ไม่มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. จะเห็นว่า กทม. มีนโยบายที่ส่งผลกระทบกับคนจนเมือง เช่น การไล่รื้อชุมชน การจัดระเบียบหาบเร่แผงลอย หลายครอบครัวต้องสูญเสียอาชีพ และทำให้ผู้คนต้องไปพึ่งพาร้านสะดวกซื้อของทุนใหญ่มากขึ้น กลายเป็นปัญหาปากท้องโดยเฉพาะกับแรงงานราคาถูกหาเช้ากินค่ำในเมือง นอกจากนี้ยังพบการใช้แนวปฏิบัติที่ไม่เหมือนกันในแต่ละพื้นที่ ซึ่งประชาชนทุกคนในเมืองควรมีสิทธิ์ในการใช้พื้นที่ร่วมกันอย่างเท่าเทียมกัน เฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขร่วมกัน
“บางชุมชนโดน ปว.44 บางชุมชนใช้มาตรา 44 แก้ปัญหา มีงบประมาณ แต่บางชุมชนถูกไล่รื้อแบบไม่ได้ดูเรื่องคุณภาพชีวิต ไม่ได้ดูว่าเขาจะไปอยู่ไหน ได้รับผลกระทบอะไร อันนี้เป็นมาตรการที่เราถูกกระทำ อีกอันหนึ่งที่เราเห็นคือเรื่องการใช้พื้นที่ บอกว่าพื้นที่สาธารณะต้องเป็นของทุกคน แต่พอทำจริงทำจัง ไล่คนจนไปแล้วคอนโดฯขึ้นกัน ตรงนั้นเป็นสวนหย่อมให้กับคอนโดมิเนียมต่างๆ เป็นที่โชว์สวยงามให้กับคอนโดมิเนียมซึ่งขายความหรูหรา ไม่ได้คำนึงถึงพวกเราที่เป็นแรงงานเลย” นุชนารถ ระบุ
สมบุญ คงคา สะท้อนปัญหาผลกระทบจากนโยบายจัดระเบียบหาบเร่แผงลอย ว่า อยากให้มีพื้นที่ค้าขายกลับมาเหมือนเดิม เพราะเป็นแหล่งอาหารของผู้ใช้แรงงานซึ่งจำนวนมากมีรายได้ค่อนข้างต่ำ การมีอาหารริมทางทำให้ลดการพึ่งพาร้านสะดวกซื้อ ขณะเดียวกัน ในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 มีผู้ต้องออกจากงานเดิมเป็นจำนวนมาก หนึ่งในสิ่งที่สังเกตเห็นคือ “ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างมีจำนวนเพิ่มขึ้น” และหลายคนในจำนวนนี้น่าจะเป็น “วินเถื่อน” ไม่ได้ขึ้นทะเบียน บางคนสภาพร่างกายหรือสภาพรถไม่พร้อม ทาง กทม. น่าจะกวดขันในเรื่องนี้ด้วย
“ชุมชนที่ไม่ได้จัดตั้งกับเขต แต่ทำไมเลือกตั้งท่านถึงไปหาเสียงถึงชุมชนเหล่านั้น อยากฝากว่าช่วยดูแลสาธารณูปโภคต่างๆ ในชุมชน ให้มันมีความสะดวกมากขึ้น ให้มันดีกว่านี้ รวมถึงสถานที่ขายของ หาบเร่แผงลอย ก็ควรจะมีการละเว้นบ้าง หรือว่าจัดสรรพื้นที่ให้คนรากหญ้าได้มีพื้นที่ประกอบอาชีพ ในการเลี้ยงปากเลี้ยงท้องบ้าง ถ้าเป็นโซนที่เป็นทางผ่าน มีจุดจอดรถให้กับคนที่สัญจรไป-มาสามารถจอดซื้อได้มันก็โอเค” สมบุญ กล่าว
สมศักดิ์ บุญมาเลิศ กล่าวถึงการเดินทางของประชาชนในเมือง ซึ่งต้องพึ่งพาระบบ “รถ” หมายถึงรถเมล์หรือรถโดยสารประจำทาง “ราง” หมายถึงรถไฟและรถไฟฟ้า และ “เรือ” หมายถึงเรือโดยสาร ว่า อยากให้มีระบบ “ตั๋วร่วม” ซื้อครั้งเดียวใช้ได้กับทุกผู้ให้บริการ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เห็นได้จากการเดินทางของคนคนหนึ่ง ต้องต่อพาหนะกันหลายช่วง
“อยากจะสะท้อนเรื่องรถไฟฟ้าเป็นสำคัญ เนื่องจากใช้งบประมาณหลายหมื่นหลายแสนล้าน ที่ลงทุนไป 5-6 เส้นทาง
ถามคนจนจริงๆ ใช้ได้กี่คน กี่เปอร์เซ็นต์ แล้วทำมาแล้วจะมีคนขึ้นมาก-น้อยแค่ไหนก็ไม่รู้ เพราะเขาไม่ได้เล็งเห็นความสำคัญของคนจนเมือง คนรวยที่มีฐานะหรือมีศักยภาพที่จะขึ้นรถไฟฟ้าได้ เขาก็มีรถยนต์ส่วนตัว เขาไม่มาขึ้นรถไฟฟ้า นอกจากจะเป็นพวกนักศึกษาหรือนักเรียนที่มีศักยภาพที่จะขึ้นได้ อันนี้ไปดูได้เลย คนจนเมืองอย่างเราได้แค่มอง เราอยากขึ้นไหม อยากเพราะมันไวมันเร็ว แต่เงินในกระเป๋าเรา ถ้าเราไปขึ้นรถไฟแล้ว แล้วชีวิตเราจะเดินต่อไปอย่างไร กินก็ไม่มี” สมศักดิ์ กล่าว
เนืองนิช ชิดนอก สะท้อนปัญหาค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัย เพราะหลายคนต้องการมีพักอยู่ใกล้กับที่ทำงาน ไม่ว่าการเช่าหรือการซื้อราคาก็ค่อนข้างแพงไม่สอดคล้องกับรายได้ เป็นที่มาของการที่ประชาชนส่วนหนึ่งเข้าไปใช้พื้นที่ของรัฐที่เป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่า มีการพัฒนาพื้นที่เพื่อตั้งเป็นชุมชนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว และอยู่อาศัย
ต่อเนื่องยาวนานหลายสิบปี แต่ในเวลาต่อมาเมื่อมีโครงการพัฒนาของรัฐ สิ่งที่รัฐทำมักใช้วิธีไล่รื้อมากกว่าจะเจรจากัน
ดังนั้นในส่วนที่ดินของรัฐที่เป็นของ กทม. เมื่อ กทม. ต้องใช้ที่ดินเพื่อสาธารณประโยชน์ พื้นที่ใดที่สามารถแบ่งเขตที่ดินให้ประชาชนอยู่อาศัยได้ก็ควรแบ่งพร้อมกำหนดสัญญาเช่าระยะยาว 30 ปี เพื่อจัดทำโครงการบ้านมั่นคง ส่วนพื้นที่ใดที่ไม่สามารถแบ่งเขตได้จริงๆ จำเป็นต้องรื้อย้ายชุมชน กทม. ควรหาพื้นที่ที่ไม่ไกลจากจุดเดิม สำหรับให้ประชาชนย้ายไปตั้งชุมชนใหม่ด้วย เพื่อให้ประชาชนยังสามารถทำงานและคงวิถีชีวิตแบบเดิมได้
“บางคนที่รายได้น้อยมากๆ เราต้องมองว่าทำไมเขาต้องมาบุกเบิกในที่ดินของรัฐ บางคนไม่อยากมาอยู่ที่ของรัฐแบบผิดกฎหมาย เขาก็อยากซื้อบ้าน แต่ผู้มีรายได้น้อยส่วนใหญ่เป็นแรงงานนอกระบบ ไม่มีสลิปเงินเดือน ไม่มีรายได้มาก บางคนที่อยู่ในระบบก็เป็นแค่พนักงานแรงงานขั้นต่ำ ยอดเงินแต่ละเดือนมันก็ไม่ถึงที่จะกู้ซื้อที่ดินซื้อบ้าน เข้าไม่ถึงสินเชื่อ เข้าไม่ถึงธนาคาร” เนืองนิช กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี