“ที่ดิน” เป็นหนึ่งในเรื่องที่มักจะมีปัญหาขัดแย้งเสมอระหว่างประชาชนกับรัฐ เช่น รัฐประกาศเขตพื้นที่สาธารณะหรือพื้นที่อนุรักษ์ทับที่อยู่อาศัยหรือที่ทำกินของประชาชน หรือรัฐนำที่ดินของประชาชนไปใช้ประโยชน์แล้วไม่จ่ายค่าชดเชยเยียวยาให้กับประชาชนผู้สูญเสียที่ดินอย่างครบถ้วน หรือดำเนินการจ่ายเยียวยาอย่างล่าช้าเกินสมควร ดังที่เห็นในข่าวมีการฟ้องร้องเป็นคดีความ หรือรวมกลุ่มชุมนุมประท้วงเรียกร้องความเป็นธรรมอยู่เนืองๆ
ในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ของ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้หยิบยกปัญหาที่ดินระหว่างประชาชนกับรัฐมาบอกเล่าและเสนอแนะแนวทางป้องกันปัญหาทำนองเดียวกันในระยะยาว เป็นกรณีเจ้าของกรรมสิทธิ์โฉนดที่ดินแปลงหนึ่งเนื้อที่ประมาณ 3 งาน 78 ตารางวา
ใน ต.สีแก้ว อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งในปี 2524 โครงการชลประทานร้อยเอ็ด ได้ก่อสร้างคลองชลประทานผ่านที่ดินของผู้ร้องเพื่อทำเป็นคลองระบายน้ำเพื่อเกษตรกรรม
เจ้าของที่ดินรายนี้ เล่าว่า ในช่วงที่มีการก่อสร้างคลองชลประทาน ขณะนั้นกรรมสิทธิ์ที่ดินอยู่กับพ่อแม่ของตน กระทั่งในปี 2563 ตนได้ทำหนังสือถึงสำนักงานชลประทานที่ 6 เพื่อขอรับเงินค่าทดแทนที่ดินตารางวาละ 1,000 บาท และขอให้สำนักงานชลประทานที่ 6 รวมถึงโครงการชลประทานร้อยเอ็ด พิจารณาจ่ายเงินชดเชยกรณีขาดประโยชน์จากการไม่ได้ทำนาเพิ่มเติมโดยคำนวณเป็นค่าเช่าปีละ 5,000 บาทเป็นระยะเวลา 40 ปี เนื่องจากเสียประโยชน์จากการไม่ได้ทำนาในพื้นที่ที่ถูกเขตคลองชลประทานพาดผ่าน
และในปี 2564 ได้มีหนังสือทวงถามอีกครั้ง ซึ่งสำนักงานชลประทานที่ 6 ผลการพิจารณาการขอค่าชดเชยทดแทนที่ดินซึ่งผู้ร้องจะได้รับค่าทดแทนที่ดินตามราคาประเมินที่คณะกรรมการกำหนดในราคาไร่ละ 400,000 บาท ส่วนการร้องขอรับเงินชดเชยค่าเสียประโยชน์จากการไม่ได้ทำนา คณะกรรมการไม่สามารถจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ร้องได้ เจ้าของที่ดินรายนี้จึงมาร้องเรียน กสม. ขอให้ตรวจสอบ
ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย แบ่งเป็น 2 ส่วนดังนี้ “ส่วนแรก” การสร้างคลองชลประทานตามภารกิจและหน้าที่ของกรมชลประทาน มีการจัดซื้อและกำหนดค่าทดแทนทรัพย์สินเพื่อการชลประทานตามคำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหลักเกณฑ์ตามหนังสือคณะรัฐมนตรีที่กำหนดแล้ว อีกทั้ง ผู้ร้องยอมรับราคาค่าทดแทนที่ดินตามที่คณะกรรมการจัดซื้อและกำหนดค่าทดแทนทรัพย์สินเพื่อการชลประทานกำหนด และต่อมาไม่ติดใจเรียกร้องค่าชดเชยค่าเสียประโยชน์จากการไม่ได้ทำนา จึงยังไม่เข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน
อย่างไรก็ตาม “ส่วนที่สอง” การก่อสร้างคลองชลประทานผ่านแนวที่ดินของผู้ร้องเรียนรายนี้ ตั้งแต่ปี 2524 และเปิดใช้งานในปี 2530 แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่ได้รับค่าทดแทน แม้ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า สาเหตุที่ยังไม่จ่ายค่าทดแทนทรัพย์สินให้ ส่วนหนึ่งมาจากการโต้แย้งเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงพิพาท แต่ กสม. เห็นว่า เมื่อหน่วยงานผู้ถูกร้อง รวมถึงกรมชลประทานเป็นผู้รับผิดชอบและได้รับประโยชน์จากโครงการ ย่อมต้องมีหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายและหาแนวทางการแก้ไขปัญหาโดยเร็วเพื่อให้เกิดการคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สิน
“การที่หน่วยงานที่ถูกร้องเรียน ได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินของผู้ร้องเรียนเพื่อการชลประทานตั้งแต่ปี 2524 แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่จ่ายค่าทดแทนให้แก่ผู้ร้องในฐานะเจ้าของที่ดินที่นั้น จึงเป็นการดำเนินการที่ล่าช้า ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม และกระทบต่อสิทธิในทรัพย์สินของผู้ร้องเกินสมควรแก่กรณี ถือเป็นการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน”
ดังนั้น ในการประชุมด้านการคุ้มครองและมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2565 กสม. เสนอแนะว่า ให้กรมชลประทานร่วมกับผู้ถูกร้อง คือ โครงการชลประทานร้อยเอ็ด สำนักงานชลประทานที่ 6 เร่งรัดการจ่ายเงินค่าทดแทนที่ดิน รวมถึงค่าเสียประโยชน์อื่นๆ ในที่ดินเพื่อการชลประทานให้แก่ผู้ร้อง พร้อมทั้งต้องยืนยันกำหนดระยะเวลาการจ่ายเงินที่แน่ชัดและแจ้งความคืบหน้าให้ผู้ร้องทราบเป็นระยะด้วย ทั้งนี้ ภายใน 60 วัน นับแต่ได้รับแจ้งรายงานผลการตรวจสอบนี้
นอกจากนี้ กสม. ยังมีข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในภาพรวมไปยังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมชลประทาน 1.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรพิจารณาทบทวน คำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ 2027/2562 ลงวันที่ 19 ก.ย. 2562 เรื่อง อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการจัดซื้อและกำหนดค่าทดแทนทรัพย์สินเพื่อการชลประทาน โดยพิจารณาให้มีอำนาจหน้าที่พิจารณากรณีปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น พิจารณาค่าชดเชยค่าเสียประโยชน์อื่นๆ นอกเหนือจากค่าทดแทนทรัพย์สินเพื่อการชลประทาน
โดยพิจารณาปัญหาเรื่องร้องเรียนไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือกรณีอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการจัดซื้อและกำหนดค่าทดแทนทรัพย์สินเพื่อการชลประทาน รวมถึงพิจารณาคำอุทธรณ์ของบุคคลที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการพิจารณาของคณะกรรมการฯ ด้วย เนื่องจากกรณีปัญหาตามคำร้องคณะกรรมการฯ แจ้งว่าไม่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาค่าชดเชยค่าเสียประโยชน์ตามข้อเรียกร้องของผู้ร้อง
และ 2.กรมชลประทานควรจัดให้มีหนังสือประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาแก่ประชาชนไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการดำเนินการจัดซื้อและกำหนดค่าทดแทนทรัพย์สินเพื่อการชลประทาน เพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาในพื้นที่อื่นๆ ด้วย!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี