‘กสม.’ขอสังคมไทยเปลี่ยนทัศนคติ ‘เรื่องในครอบครัวเขาเรายุ่งได้’ถ้าพบเห็นใช้‘ความรุนแรง’
8 ก.ย. 2565 ในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) น.ส.สุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ร้องรายหนึ่งเมื่อเดือน ธ.ค. 2564 โดยร้องเป็นลูกพี่ลูกน้องกับผู้เสียหาย ทราบว่า ผู้เสียหายซึ่งอาศัยอยู่กับบิดามารดาในพื้นที่ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ถูกบิดา-มารดาทำร้ายร่างกายด้วยวิธีการต่างๆ จนเกิดรอยฟกช้ำและบาดแผลตามร่างกาย รวมทั้งถูกบังคับให้กู้ยืมเงินผู้อื่นมาใช้จ่ายในครอบครัว ผู้ร้องมีความกังวลว่าผู้เสียหายจะไม่ได้รับความปลอดภัย จึงขอความช่วยเหลือ
กสม. พิจารณาเห็นว่า เรื่องดังกล่าวเป็นกรณีเกี่ยวกับสิทธิเด็ก ซึ่งได้รับการรับรองและคุ้มครองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 แต่เนื่องจากการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนดังกล่าวสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วด้วยวิธีการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงรับไว้เป็นคำร้องและประสานเรื่องไปยังกรมกิจการเด็กและเยาวชน สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงใหม่ และมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก เพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือ
ต่อมา เมื่อเดือน มี.ค. 2565 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจ้งว่า ได้ส่งนักสังคมสงเคราะห์ เจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดเชียงรายและเครือข่ายชุมชน ประกอบด้วย ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรกำนันตำบล ฝ่ายรักษาความสงบในหมู่บ้าน ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านบิดามารดาของผู้เสียหายที่ จ.เชียงใหม่ และบ้านยายของผู้เสียหายที่ จ.เชียงราย โดยได้ทราบข้อเท็จจริงว่า บิดาและมารดาของผู้เสียหายประกอบอาชีพขับรถรับจ้างและค้าขาย มีบุตรร่วมกัน 3 คน ผู้เสียหายเป็นบุตรสาวคนโต อายุ 15 ปี ทางครอบครัวมีภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือนและหนี้สินนอกระบบที่ค้างชำระจำนวนมาก
“จากการเจรจา บิดามารดาได้ตกลงให้ผู้เสียหายอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของยายและให้คำมั่นว่าจะเลิกแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับผู้เสียหาย ทั้งนี้ บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดเชียงรายได้มีมติให้ผู้นำชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมเฝ้าระวังเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต หากได้รับแจ้งว่าบิดามารดามารับผู้เสียหายไปดูแล ให้ตาและยายสามารถแจ้งไปยังผู้นำชุมชนเพื่อให้ความช่วยเหลือเป็นการด่วน รวมทั้งจะประสานขอรับการช่วยเหลือจากเงินกองทุนคุ้มครองเด็กจังหวัดเชียงรายเพื่อให้ความช่วยเหลือเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูต่อไป” น.ส.สุภัทรา กล่าว
น.ส.สุภัทรา กล่าวต่อไปว่า ล่าสุดจากการติดตามของเจ้าหน้าที่สำนักงาน กสม. เมื่อเดือน พ.ค. และเดือน ส.ค. 2565 ได้ความว่า ปัจจุบันผู้เสียหายยังคงอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของยาย ซึ่งบิดาเคยติดต่อยายของผู้เสียหายเพื่อขอรับผู้เสียหายไปอุปการะเลี้ยงดูอีกครั้ง แต่ยายของผู้เสียหายไม่ให้ความยินยอม ปัจจุบันจึงไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวเกิดขึ้นกับผู้เสียหายแล้ว
ดังนั้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2565 จึงมีมติเห็นชอบผลการประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนดังกล่าว และมอบหมายเจ้าหน้าที่สำนักงาน กสม. ให้คำแนะนำแก่ผู้ร้องว่าหากเกิดเหตุการณ์ตามคำร้องเรียนอีก ผู้ร้องสามารถขอความช่วยเหลือจากสำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนและการบังคับคดีประจำจังหวัดของสำนักงานอัยการสูงสุดหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546
ทั้งนี้ กรณีข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งในอีกหลายกรณีที่เด็กถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งกรณีนี้ยังดีที่ญาติไม่เพิกเฉยและร้องเรียนมายัง กสม. กระทั่งได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตามยังมีเด็กและผู้หญิงจำนวนมากที่ถูกกระทำความรุนแรงในที่ที่ควรจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยโดยเพื่อนบ้าน ญาติ ชุมชน หรือเจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องไม่สนใจหรือเพิกเฉยเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัวภายในครอบครัวของผู้อื่น
ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติกันและหันมายื่นมือให้ความช่วยเหลือเหยื่อของความรุนแรง ซึ่งสอดคล้องกับ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 มาตรา 5 ที่กำหนดให้ผู้พบเห็นหรือทราบการกระทำความรุนแรงในครอบครัว มีหน้าที่แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วย โดย กสม. อยู่ระหว่างการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนอีกหลายกรณีที่เด็กและเยาวชนได้รับผลกระทบจากการถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว
“ในเบื้องต้น กสม. มีความเห็นว่า การป้องกันและแก้ไขปัญหาเรื่องดังกล่าวควรดำเนินการในเชิงระบบด้วยการเชื่อมโยงการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนกลาง ส่วนท้องถิ่นและชุมชน โดยอาจให้ศูนย์ช่วยเหลือสังคม (OSCC) สายด่วน 1300 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นกลไกหลักในการเชื่อมโยงหรือประสานกับกลไกอื่น ๆ ในพื้นที่ เช่น บ้านพักเด็กและครอบครัว อสม. คณะกรรมการระดับชุมชน เพื่อให้เหยื่อได้รับความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที” น.ส.สุภัทรา กล่าวในตอนท้าย -009
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี