เปิดตำนาน”เจ้าพ่อหมื่น” ชาวไทย-จีนจัดงานสมโภชทุกปี พร้อมรำลึก 67 ปี ในหลวง ร.9 เสด็จพระราชทานเครื่องสักการะ เคยถูกสายมูฉกไปทำพิธีความเชื่อ ร้อนรนจนต้องนำส่งคืน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากองค์พญาศรีสัตตนาคราช ที่ตั้งประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ถนนสุนทรวิจิตร เขตเทศบาลเมืองนครพนม ถือเป็นพญานาคศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพสักการะของชาวนครพนม รวมถึงประชาชน นักท่องเที่ยว และยังมีอีกสถานที่สำคัญอีกแห่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากองค์พญาศรีสัตตนาคราช ถือเป็นมเหศักดิ์หลักเมือง ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ และเป็นสถานที่สำคัญ อีกทั้งเป็นความเชื่อความศรัทธาของชาวไทยเชื้อสายจีน โดยสิ่งที่กล่าวถึงนี้คือ ศาลเจ้าพ่อหมื่น ตั้งอยู่ในพื้นที่ธรณีสงฆ์วัดโอกาส(ศรีบัวบาน) ริมแม่น้ำโขง ถนนสุนทรวิจิตร เขตเทศบาลเมืองนครพนม ภายในเป็นที่ประดิษฐาน รูปปั้นคู่องค์เทพเจ้าจีน ปุงเถ่ากง-ม่า ถือเป็นบรรพบุรุษชาวจีน ที่ชาวไทยเชื้อสายจีน รวมถึงชาวนครพนมเคารพศรัทธา มายาวนานกว่า 70 ปี
โดยทุกปีในช่วงก่อนเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หรือช่วงเดือน พฤศจิกายน จะมีการจัดงานสมโภชเฉลิมฉลองขึ้น เพื่อเป็นสิริมงคล เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อกิจการ ค้าขายเจริญรุ่งเรือง รวมถึงเป็นการสืบสานประเพณีอันดีงาม สนับสนุนการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัด ในปีนี้จัดระหว่างวันที่ 25-29 พฤศจิกายน 2565 โดยจะมีการจัดกิจกรรม สร้างสีสันสมโภช ยิ่งใหญ่อลังการ อาทิ ขบวนแห่มังกร สิงโต ตามประเพณีความเชื่อ
ทั้งนี้ เมื่อเดือนมกราคม 2565 ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด รูปปั้นคู่องค์เทพเจ้าจีน ปุงเถ่ากง-ม่า ได้ถูกโจรกรรมไปจากศาลเจ้าพ่อหมื่น โดยทางตำรวจชุดสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม ได้ระดมทีมสืบสวนติดตาม จนกระทั่งคนร้ายจำนวน 2 ราย ซึ่งเป็นสามีภรรยากัน เป็นชาวจังหวัดอุบลฯ ได้นำกลับมาคืน โดยวางรูปปั้นไว้ที่ข้างกำแพงศาลด้านทิศเหนือ หลังจากขโมยไปได้ไม่ถึง 2 วัน เนื่องจากถูกกดดันจากตำรวจ อีกทั้งยังเชื่อว่าเป็นความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพ่อหมื่น ใครคิดไม่ดีไม่สามารถจะนำไปครอบครองได้ ทำให้คนร้ายกลัวความผิดนำกลับมาส่งคืน โดยคนร้ายทั้ง 2 คน ภายหลังถูกจับกุมดำเนินคดี พร้อมสารภาพว่าเป็นกลุ่มมูเตลูหรือสายมู ก่อเหตุจากความเชื่อความศรัทธาต้องการนำไปทำพิธีความเชื่อ เพราะเชื่อว่าจะทำให้มีโชคลาภ ด้วยการนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประชาชนกราบไหว้ไปประกอบพิธี
นายสุเทพ อติวรรณกุล นายกสมาคมพ่อค้าจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า สำหรับศาลเจ้าพ่อหมื่น ถือเป็นมเหศักดิ์หลักเมืองที่มีความศักดิ์สิทธิ์ และมีความสำคัญกับชาว จ.นครพนมมาแต่อดีต เดิมเป็นศาลเพียงตาที่อยู่ติดกับแม่น้ำโขง และมีการเคลื่อนย้ายพัฒนาก่อสร้างเป็นศาลเจ้าพ่อหมื่น เมื่อปี 2501 พร้อมมีการอัญเชิญรูปปั้นคู่องค์เทพเจ้าจีน ปุงเถ่ากง-ม่า ถือเป็นบรรพบุรุษชาวจีน ที่ชาวไทยเชื้อสายจีน รวมถึงชาวนครพนม เคารพศรัทธา หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าเจ้าพ่อหมื่น ประดิษฐานไว้ภายใน อายุเก่าแก่ กว่า 70 ปี เชื่อว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่หลายคนศรัทธามาขอโชคลาภได้สมหวังทุกราย โดยเฉพาะเรื่องการค้าขาย แต่หากใครคิดไม่ดีเชื่อว่าจะเกิดอาเพศแน่นอน เช่นเดียวกับโจรที่ลักขโมยไป ถึงแม้จะนำมาคืนเชื่อว่าจะเกิดอาเพศภายหลัง ที่สำคัญสถานที่แห่งนี้ถือเป็นสถานที่สำคัญของชาวนครพนม มีจารึกไว้ว่า ในหลวงรัชการที่ 9 พระราชทานถวายเครื่องสักการะบูชา ครั้งเมื่อเสด็จเยือนนครพนม เมื่อปี 2498 ใครได้มีโอกาสมากราบไหว้ขอพรจะมีแต่ความสุขความเจริญ ค้าขายร่ำรวย มีโชคลาภ
สำหรับเจ้าพ่อหมื่น ตามตำนานเล่าว่า จมื่นรักษาราษฏร์ สมัยก่อนเป็นนายกองเมือง ต่างพระเนตรพระกรรณแทนเจ้าพระยาศรีโคตรบูรหลวง ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่รักใครของประชาชนและลูกหลาน เข้าวัดปฏิบัติธรรมมิได้ขาด ทั้งยังเป็นแพทย์รักษาโรคแผนโบราณโดยไม่คิดมูลค่า จมื่นผู้นี้ยังมีวิชาอาคมอยู่ยงคงกระพันชาตรี ใส่หุ่นหนัง บังฟัน งัวธนู บังตัวหายตัว และเป็นต้นศรัทธาให้ชาวบ้าน บ.โพธิ์ค้ำในอดีต สร้างวัด “ศรีบัวบาน” หรือวัดโอกาสในปัจจุบัน
ครั้นจมื่นอายุย่างเข้าวัยชรา มีอายุได้ 90 ปีเศษ วันหนึ่งท่านอยากกินหมกกุ้งหมกซิว (ห่อหมก) จึงให้ลูกหลานไปช้อนกุ้งช้อนซิว(จับโดยใช้สวิง)ในแม่น้ำโขง ได้แต่ไข่ลูกโตๆเท่าไข่ห่าน แม้จะเอาโยนทิ้งน้ำ ยังมาถูกสวิงเช่นเดิม จมื่นจึงบอกลูกหลานให้นำไข่ดังกล่าวมาหมกให้กิน เมื่อกินไข่แล้วเกิดร้อนรนกระวนกระวาย กระหายน้ำ จึงรีบนำจมื่นไปอาบน้ำโขง ดำผุดดำว่ายนาน ลูกหลานบอกให้ขึ้น แต่จมื่นกับร้องขอผ้าแดง 1 ผืนมาโพกศีรษะ แล้วดำหายไปในน้ำโขง จึงงมหาแต่ไม่พบ ขณะนั้นปรากฏมีเงือกงูใหญ่ตัวหนึ่งผุดขึ้นดำลงลอยในแม่น้ำโขง จึงให้คนขี่ม้าเร็วไปกราบทูลพระเจ้าศรีโคตรบูรหลวงทรงทราบ พระองค์รีบเสด็จลงเรือตรัสกับเงือกงูใหญ่ตัวนั้นว่า “จมื่นฯเอ๋ยแกเป็นคนดี เมื่อแกมรณกรรมแล้วยังห่วงประชาชนอยู่ ขอให้แกรักษาทางน้ำทางบกตลอดใต้สุดและเหนือสุด ตั้งแต่ผาใด ผาด่าง ถ้ำใต้ถึงแก่งหลี่ผีสีพันดอนเป็นเขตบก ทิศตะวันออกจรดภูเขาไม้ล้มแบ่ง ทิศตะวันตกถึงภูเขาดงพญาไฟ ให้แกไปอยู่ที่หางดอนโดน จะปลูกศาลให้เดือน 6 ปีใหม่ทุกปีจะเซ่นไหว้ดวงวิญญาณ”
จากนั้นพระองค์จึงนำข้าวสุก 1 ปั้น ไข่ต้ม 1 ฟองที่เตรียมมาให้เงือกงูตัวนั้นกิน ก่อนเงือกงูตัวใหญ่ดำจมหายไป กลายเป็นผีมเหศักดิ์หลักเมืองของนครศรีโคตรบูร นับแต่นั้นมา
ย้อนไปใน พ.ศ.2501 พ่อค้าเชื้อสายจีนที่พำนักอยู่ในจังหวัดนครพนมได้ร่วมกันก่อสร้างศาลเจ้าพ่อหมื่น เป็นศาลจีนเพื่อเป็นมงคลแก่ชาวนครพนม ให้เจ้าพ่อหมื่นสถิตเป็นหลักเมืองนครพนม แต่ทว่าเจ้าหมื่นอยากอยู่เป็นเอกเทศ ไม่อยากอยู่ศาลจีน พระครูวิชิตพัฒนคุณจึงสร้างศาลใหม่ครอบศาลเก่าดังกล่าว ทั้งสองศาลเจ้าที่อยู่คู่กัน จึงเรียกร่วมกันว่า “ศาลเจ้าพ่อหมื่น”
วันแรม 6 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปี ชาวบ้านคุ้มวัดโอกาสจะจัดงานเซ่นไหว้ดวงวิญญาณเจ้าพ่อหมื่นสืบเนื่องมาแต่โบราณ โดยจะมีร่างทรงฟ้อนรำดาบ รำง้าว ชาวนครพนมเชื่อว่าศาลเจ้าพ่อหมื่นศักดิ์สิทธิ์ ดลบันดาลให้ผู้ทำผิดเกิดอาเพศต่างๆ และจะอำนวยโชคให้ผู้เคารพนับถือเป็นนิจกาล
พอถึง 3 ค่ำเดือน 11 งานออกพรรษาแข่งเรือยาว จะมีฝีพายเรือนับสิบลำมาบนบานเพื่อขอให้เรือแข่งชนะเลิศ และได้รับกรรมสิทธิ์ครองถ้วยพระราชทาน และในเดือนดังกล่าวสมาคมพ่อค้าฯ จะจัดงานงิ้วเฉลิมฉลอง 6 วัน 6 คืนเป็นประเพณี ดังนั้นงานสมโภชเจ้าพ่อหมื่นจึงมีการจัดปีละ 2 ครั้ง โดยครั้งที่หนึ่งจัดตามประเพณีของชาวอีสาน และครั้งที่สองจัดตามความเชื่อของคนไทยเชื้อสายจีน ด้วยเหตุนี้จึงมีชื่อเรียกนามท่าน 2 นาม คือ 1.เจ้าพ่อหมื่น (อีสาน) และ 2.ปุ่งเถ่ากงฯ (จีน)
ด้านผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ที่เดินทางมารับราชการที่ จ.นครพนม จะมาคารวะที่ศาลเจ้าแห่งนี้ ส่วนผู้ที่มาบนบานทั่วๆไปจะบนบานแล้วเชื่อว่า จะประสบผลสำเร็จในธุรกิจค้าขายรุ่งเรือง และหน้าที่การงานมั่นคง.-008
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี