23 ม.ค. 2566 ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ศูนย์ราชการฯ ถ.แจ้งวัฒนะ ย่านหลักสี่ กรุงเทพฯ มีการจัดเสวนาเรื่อง “พ.ร.บ. ซ้อมทรมานและอุ้มหาย เดินหน้าหรือชะลอ ใครได้ ใครเสีย?” ซึ่งสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2566 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ได้ลงนามในหนังสือขอให้มีการชะลอในเรื่องของการบังคับใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 22 ก.พ. 2566
นายอาดิลัน อาลีอิสเฮาะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จ.ยะลา พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า กฎหมายป้องกันการซ้อมทรมานการกระทำให้บุคคลสูญหาย หรือการอุ้มหายนั้นมีความพยายามร่างกันมาครั้งหนึ่งในยุคสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในยุครัฐบาล คสช. แต่ยังไม่แล้วเสร็จก็ยุบสภาและมีการเลือกตั้งเสียก่อน แต่เมื่อมีสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่จากการเลือกตั้ง ก็มีทั้งภาคประชาสังคม ฝ่ายการเมืองทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน ร่างกฎหมายนี้ส่งเข้ามาให้สภาพิจารณา
กระทั่งเกิดคดีที่ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผู้กำกับโจ้ ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ ร่วมกับพวกใช้ถุงดำคลุมศีรษะผู้ต้องหาคดียาเสพติดจนผู้ต้องหาเสียชีวิต คดีนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ร่างกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ถูกเสนอเข้าสู่สภาและผ่านการพิจารณาทั้งในชั้น ส.ส. และสมาชิกวุฒิสภา (สว.) จนกฎหมายสามารถผ่านออกมาจากทั้ง 2 สภา และประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ในที่สุด
นายอาดิลัน กล่าวต่อไปว่า ในวันที่ 22 ธ.ค. 2565 คณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ในคณะ กมธ. การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ได้เชิญทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้กฎหมายฉบับนี้ เช่น สตช. กระทรวงกลาโหม กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ สำนักงานอัยการสูงสุด กระทรวงมหาดไทย
ซึ่งแม้จะมีข้อกังวลจากหน่วยงานต่างๆ เช่น การต้องเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้อง การอบรมให้ความรู้กับเจ้าหน้าที่ แต่ก็จะมีการตั้งคณะกรรมการร่วมกันเพื่อออกแนวปฏิบัติกลางสำหรับใช้ร่วมกัน และทุกหน่วยงานยืนยันว่าไม่เป็นอุปสรรคหากกฎหมายมีผลบังคับใช้ในวันที่ 22 ก.พ. 2566 กระทั่งมาเกิดกรณี ผบ.ตร. ทำหนังสือถึงกระทรวงยุติธรรม ขอขยายเวลาบังคับใช้ด้วย 3 เหตุผล ทั้งที่เหตุผลเหล่านั้นได้พูดคุยกันไปแล้วตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค. 2565 และยืนยันว่าไม่ได้มีข้อขัดข้องใดๆ
“เรื่องของงบประมาณ ถึงแม้งบประมาณ 3 พันกว่าล้านบาทไม่สามารถจะได้ในทันที แต่เครื่องไม้เครื่องมือที่มีอยู่แล้วก็สามารถปฏิบัติได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องไม้เครื่องในส่วนการตรวจค้นจับกุม มีระเบียบปี 2564 ที่อดีต ผบ.ตร. ท่านก่อนหน้านี้ได้ออกคำสั่งในการปฏิบัติแล้วว่าในการจับกุมต้องมีเครื่องมือบันทึกภาพ-เสียงเคลื่อนไหวอยู่แล้ว แสดงว่าในสถานีตำรวจทุก สน. ทุก สภ. มีเครื่องไม้เครื่องมือในการปฏิบัติโดยไม่ได้มีเหตุขัดข้องใดๆ ทั้งสิ้น ประเด็นข้อห่วงใยเรื่องเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 แสนกว่านายต้องมีกล้องนั้น ผมคิดว่าอาจเป็นการเตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ แต่ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องมีทุกท่าน เอาเฉพาะคนที่เข้าเวร” นายอาดิลัน กล่าว
น.ส.นรีลักษณ์ แพไชยภูมิ ผู้อำนวยการกองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ก่อนหน้านี้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เคยพูดคุยกับหลายหน่วยงานทั้ง สตช. สำนักงานศาลยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครอง อัยการ กรมราชทัณฑ์ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
หรือก็คือไปทุกหน่วยงานที่มีอำนาจจับกุมควบคุมตัวผู้กระทำผิด เพื่อให้ผู้บริหารของหน่วยงานเหล่านี้เข้าใจความสำคัญของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 รวมไปถึงการตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อวางระเบียบร่วมกัน ซึ่งปัจจุบันระเบียบว่าด้วยการแจ้งและการบันทึกการจับกุมและควบคุมตัวนั้นเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงหลักเกณฑ์การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ที่ปัจจุบันให้ใช้ พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 เป็นเบื้องต้น
“เราอยู่ระหว่างทำหลักเกณฑ์การเยียวยาเพื่อให้ครอบคลุมมากกว่าเรื่องของเงิน ก็จะเป็นการเยียวยาเรื่องอื่นๆ ในมิติอื่นๆ ด้วย อันนี้จะเป็นเรื่องเดี๋ยวที่เราจะไปวงเล็กในการพูดคุยกับหน่วยไม่ว่าจะเป็นกรมบัญชีกลาง สำนักงบประมาณ หรือหน่วยที่มีหน้าที่เยียวยา ไม่ว่าจะเป็นของ พม. ของกระทรวงสาธารณสุข ก็จะเข้ามาในเรืองของการเยียวยา ซึ่งอันนี้ก็เป็นสิ่งที่เราเตรียมการในเชิงการวางระเบียบ” น.ส.นรีลักษณ์ กล่าว
นายน้ำแท้ มีบุญสล้าง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาการสอบสวนและการดำเนินคดี สำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ในด้านความพร้อมปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ส่วนของหน่วยงานอื่นตนคงไปตอบแทนไมได้ แต่ในส่วนของสำนักงานอัยการสูงสุดก็เตรียมความพร้อมแล้วกว่าร้อยละ 80 และหากจะรอให้พร้อมทั้ง 100% ก็คงไม่ต้องทำงานไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานใดหรือกฎหมายฉบับใดก็ตาม
โดยก่อนหน้านี้ก็เคยมีกรณีหลักเกณฑ์การสอบสวนเด็กหรือเยาวชนที่เป็นผู้เกี่ยวข้องในคดีความต่างๆ ซึ่งกำหนดให้ต้องมีทีมสหวิชาชีพร่วมในกระบวนการสอบาสวนด้วย ในช่วงแรกๆ ก็มีเสียงสะท้อนว่ายุ่งยากวุ่นวาย แต่ท้ายที่สุดก็ทำกันมาได้จนตกผลึกเป็นแนวปฏิบัติที่ลงตัว และต้องบอกว่า กฎหมายป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย เป็นกฎหมายที่มีแล้วในหลายประเทศ
อาทิ สหรัฐอเมริกา ซึ่งตนมีโอกาสได้ไปฝึกงานเป็นอัยการอยู่ 4-5 เดือน ตำรวจมีแนวปฏิบัติว่าขณะเข้าจับกุมผู้กระทำผิดหากไม่มีการบันทึกภาพปฏิบัติการไว้ หากผู้ถูกจับกุมร้องเรียนและมีผลตรวจร่างกายว่าได้รับบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจะมีความผิด ขณะที่กฎหมายของไทยเรื่องการติดกล้องบันทึกเการจับกุมตลอดเหตุกาณ์ จะมีข้อยกเว้นหากเป็นเหตุสุดวิสัย
เช่น คนร้ายกระโดดลงน้ำแล้วตำรวจลงตาม หรือเกิดเหตุชุลมุนต่อสู้ขัดขวางเจ้าหน้าที่จนกล้องเสีย จะมีผู้ตรวจคืออัยการและฝ่ายปกครอง นอกจากอ่านบันทึกการจับกุมแล้วยังตรวจกล้องด้วย ส่วนข้อกังวลว่าสหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้าแล้วประเทศไทยจะทำได้อย่างเขาหรือไม่ แต่เรื่องกล้องนี้ไม่ใช่เทคโนโลยีล้ำเลิศอะไร ขอเพียงมีสัญญาณอินเตอร์เน็ต มีโปรแกรม และมีช่องทางติดต่อก็สามารถทำได้แล้ว
“ระบบกล้องที่เราใช้ในกฎหมายฉบับนี้มันทำให้ Due Process of Law (กระบวนการอันชอบธรรมของกฎหมาย) เป็นความจริง ก็คือเขาบังคับให้คุณไม่ทรมานคน ไม่ทุบคน เจ้าหน้าที่ต้องใช้อำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย ใช้อำนาจจับกุมใช้กำลังตามสมควร ควบคุมตามกฎหมายอันสมควร แจ้งสิทธิ์เขา เอาเขาไปที่ทำการทันที เมื่อไม่ทำ ไม่มีระบบตรวจสอบก็เอากล้องมาตรวจสอบ” ผอ.สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาการสอบสวนและการดำเนินคดี สำนักงานอัยการสูงสุด กล่าว
นายสมชาย หอมลออ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ยังเพิ่มโอกาสให้ผู้ที่อยู่กินฉันท์สามี-ภรรยา แม้ไม่ได้จดทะเบียนสมรสสามารถเป็นโจทก์ร่วมในการฟ้องคดีได้หากอีกฝ่ายตกเป็นเหยื่อถูกซ้อมทรมานหรืออุ้มหาย ซึ่งเป็นการถอดบทเรียนจากกรณี นายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ ตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ที่ถูกอุ้มหายเพราะออกมาเรียกร้องสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง แต่ภรรยาไม่สามารถเป็นโจทย์ร่วมเพราะไม่ได้จดทะเบียนสมรส
“ถ้าไปแจ้งความในฐานะผู้ร้องทุกข์ด้วยแน่นอนก็ต้องหาพยานหลักฐานมาสนับสนุนพอสมควรว่าตนเองว่าแป็นผู้ที่อยู่กินกันฉันท์สามี-ภรรยา เช่น พยานบุคคลที่เชื่อถือได้หรือพยานเอกสาร เช่น ทะเบียนบ้าน เรื่องการอยู่บ้านเดียวกัน หรือลูกซึ่งมันมีระบุชื่อว่าเราซึ่งเป็นภรรยาแล้วไม่ได้จดทะเบียน เป็นแม่ของลูกของคนที่สูญหายไปอย่างนี้เป็นต้น” นายสมชาย กล่าว
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า หากเทียบกับ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 หรือกฎหมาย PDPA ที่เลื่อนมากว่า 2 ปีกว่าจะมีผลบังคับใช้ในปี 2565 แล้วไม่เหมือนกัน เพราะ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ผู้ที่เสนอให้เลื่อนการบังคับใช้ออกไปก่อนคือกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ขณะเดียวกันก็ไม่มีหน่วยงานอื่นๆ รวมถึงฝ่ายนิติบัญญัติในรัฐสภา ตลอดจนประชาชนทั่วไปก็ไมได้ขัดข้อง จึงไม่มีปัญหาอะไร
แต่ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 เนื่องจาก 1.หน่วยงานที่ไม่พร้อมมีเพียง สตช. เพียงหน่วยงานเดียวที่เสนอมา 2.ข้อกังวลของ สตช. จริงๆ แล้วก็สามารถแก้ไขได้ทั้งหมด เช่น ความไม่พร้อมเรื่องกล้องสำหรับเจ้าหน้าที่ แต่การมีกฎหมายก็จะทำให้การตั้งงบประมาณในปีต่อๆ ไปมีเรื่องนี้เข้ามา แต่เบื้องต้นก็ไม่จำเป็นว่าตำรวจทุกนายต้องมีกล้อง เพียงแต่ให้มีไว้ในจุดที่ควรมี เช่น สถานที่สอบสวน หรือเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม อีกทั้งกฎหมายยังเปิดช่องให้ชี้แจงเหตุผลที่ไม่สามารถใช้กล้องบันทึกเหตุการณ์ไว้ด้วย
หรือการอบรมให้เจ้าหน้าที่มีทักษะ ทาง สตช. ก็มีระเบียบเรื่องนี้ตั้งแต่ปี 2564 ในยุคที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. อีกทั้ง กสม. ยังเคยจัดทำข้อเสนอให้ทั้ง สตช. และกระทรวงกลาโหม เร่งอบรมเพื่อเพิ่มศักยภาพเจ้าหน้าที่ ที่สำคัญคือ ที่ผ่านมา ตั้งแต่ขณะที่กฎหมายยังอยู่ในชั้นพิจารณา จนถึงกระทั่งเมื่อกฎหมายผ่านออกมาประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วและทาง กมธ.การกฎกมายฯ ก็เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือมาทำความเข้าใจ ก็ สตช. ไม่เคยแจ้งข้อกังวลเรื่องความพร้อมแต่อย่างใด
“กฎหมายนี้เป็นกฎหมายที่สำคัญมาก กฎหมายนี้จะช่วยทั้งประชาชนได้รับการคุ้มครองสิทธิ์ที่ดียิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็เป็นการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานด้วย เข้าใจว่ามีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องการซ้อมทรมานหรือการอุ้มหายอยู่เยอะ ถ้าหากว่ากฎหมายนี้ถูกบังคับใช้ การดำเนินการของเจ้าหน้าที่มีความโปร่งใสมากขึ้น เรื่องร้องเรียนเหล่านี้ก็จะลดน้อยถอยลง” นายวสันต์ กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
https://www.naewna.com/politic/703775 'โรม'สับแหลก! ผบ.ตร.ไบโพลาร์-ล้มเหลว สั่งชะลอ'พรบ.อุ้มหาย'อ้างไม่พร้อม
https://www.naewna.com/politic/705269 กมธ.กฎหมายฯ’แจ้ง‘บิ๊กตู่’กังวล‘ร่างพ.ร.บ.อุ้มหายฯ’บังคับใช้ไม่ทัน 22 ก.พ.นี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี