วันที่ 2 มีนาคม 2566 มูลนิธิเพื่อนหญิง ร่วมกับ ภาคีเครือข่ายเด็กและสตรี จัดกิจกรรมนำเสนอ 8 นโยบายด้านสตรีต่อพรรคการเมือง เนื่องในวันสตรีสากล ซึ่งตรงกับวันที่ 8 มีนาคม ของทุกปี ณ โรงแรมเอเชีย ราชเทวี โดยมีการเผยแพร่แถลงการณ์ดังนี้ ข้อมูลทะเบียนกลาง กรมการปกครอง เผยแพร่ตัวเลขประชากรไทยประจำปี 2563 จำนวน 64,228,120 คน เป็นหญิง 33,353,812 คน เป็นชาย 31,874,308 คน พบว่า ประชากรหญิงมากกว่าชาย 1,479,504 คน
สถิติแรงงานไทยปี 2565 แรงงานทั่วราชอาณาจักรมีทั้งหมด 58.73 ล้านคน เป็นแรงงานชาย 27.96 ล้านคน เป็นหญิง 30.67 ล้านคน มีจำนวนแรงงานหญิง อายุ 15 ปีขึ้นไป 29.58 ล้านคน และเป็นแรงงานในระบบ 17.65 ล้านคน แรงงานนอกระบบ 11.43 ล้านคน ในจำนวนนี้มีผู้หญิงที่มีงานทำ 17.25 ล้านคน เป็นผู้หญิงว่างงาน 0.38 ล้านคน ในฐานะที่เป็นหญิงแม่ มีเด็กคือลูกที่ผู้หญิงต้องฟูมฟัก อุปการะเลี้ยงดู ในขณะที่ตัวเลขการเกิดของเด็กน้อยลงทุกปี
ตัวเลขล่าสุดสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2564 พบทารกแรกเกิดมีเพียง 544,570 คน ในขณะที่อัตราการเสียชีวิตของประชากรสูงกว่า คือ 563,650 คน นับเป็นปีแรกที่การตายมากกว่าการเกิด มีผู้ลงทะเบียนมารดาประชารัฐ 14.5 ล้านคน รับเงินคนละ 3,000 บาท รัฐ สปสช. ประกันสังคม จ่ายค่าคลอด คนละ 15,000 บาทไม่จำกัดจำนวน จำนวนเด็ก 0 -18 ปี มีจำนวน 14,145,951 คน จำนวนเด็กแรกเกิดที่ได้รับเงินอุดหนุน 600 บาท × 6 ปี จำนวน 2,337,950 คน เด็กผู้หญิงที่อยู่นอกระบบ การศึกษา 1,137,532 คน (ข้อมูลจากสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา)
สถิติข้อมูลศูนย์พึ่งได้ของกระทรวงสาธารณสุข ผู้หญิง-เด็กถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว การละเมิดทางเพศ ท้องไม่พร้อม ถัวเฉลี่ยปีละ 25,000 -30,000 ราย และยังมีจำนวนมากที่เก็บเรื่องเงียบ อาย ไม่อยากให้ใครรู้ หรือกลัวถูกคุกคามจากผู้กระทำ เป็นต้น แม้รัฐจะมี รัฐสวัสดิการแม่และเด็ก ส่งเสริมอาชีพ สร้างงานเพิ่มรายได้ เพิ่มราคาพืชผลการผลิต เพิ่มบุคลากร แต่ก็ยังมีข้อจำกัดของการเข้าถึงนโยบายของผู้หญิง
ด้วยเหตุแห่งเพศที่คนส่วนมากยังไม่เข้าใจในเรื่องความเสมอภาคระหว่างเพศ บทบาทหญิงชาย การวางแผนนโยบายที่ขาดความรู้ความเข้าใจ และไม่ได้คำนึงถึงเพศสภาพ การสร้างความมั่นคงในชีวิต รวมถึงความล่าช้าของระบบราชการ เป็นปัจจัยที่นำมาสู่ปัญหาการเลือกปฎิบัติในโอกาสของการทำงาน การพัฒนาศักยภาพ การว่างงาน ตกเป็นผู้เสียหายของความรุนแรงในครอบครัว ความรุนแรงทางเพศ การค้ามนุษย์ และการแสวงหาประโยชน์ทางเพศ รวมถึงการมีส่วนร่วมในสังคมของผู้หญิง เด็กหญิง
ในโอกาสที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปเกิดขึ้นภายในเดือนพฤษภาคม 2566 จากข้อมูลของกระทรวงมหาดไทย พบว่า พลเมืองที่มีสิทธิเลือกตั้ง เป็นผู้หญิงจำนวน 27,500,781 คน ในขณะที่ผู้ชาย 25,400,108 คน คณะทำงานฯ จึงมีข้อเสนอแนะเรียกร้องต่อพรรคการเมือง โดยพรรคที่จะได้รับการคัดเลือกและรวมตัวจัดตั้งเป็นคณะรัฐบาล พรรคฝ่ายค้าน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเป็นการส่งเสริมบทบาท โอกาส ให้เกิดความเสมอภาค เป็นธรรมระหว่างเพศ ความปลอดภัยให้กับเด็ก ผู้หญิง และบุคคลในครอบครัว
ตามหลักอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฎิบัติต่อสตรีทุกรูปแบบ ปฎิญญาสากลการยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง อนุสัญญาสิทธิเด็ก กฎหมายแรงงานระหว่างประเทศ และกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2560 โดยมีข้อเสนอดังต่อไปนี้ 1.ยกระดับ หรือ จัดให้มีกองทุนแม่เลี้ยงเดี่ยว แม่ที่ยากลำบากจากการหย่าร้าง หรือแม่ที่สามีไม่ร่วมรับผิดชอบในการเลี้ยงดูลูก และเพื่อลดภาระการยื่นฟ้องติดตามบังคับค่าเลี้ยงดูบุตร ให้จัดเป็นรัฐสวัสดิการจำเป็นสำหรับ การสร้างความมั่นคงในสุขภาพ ร่างกาย จิตใจ และอาชีพ
ให้แม่เลี้ยงเดี่ยว โดยรัฐต้องพิจารณาการช่วยเหลือตามความจำเป็น เหมาะสม เป็นรายกรณีที่แตกต่างกันตามสภาพเงื่อนไข ความเป็นอยู่ สภาพแวดล้อมของแม่เลี้ยงเดี่ยว ต้องกำหนดมาตรการในการเรียกเงินคืนเข้ากองทุนแม่เลี้ยงเดี่ยวจากพ่อของเด็กโดยการตรวจ DNA รวมถึงการหางานให้ทำกรณีว่างงานให้พ่อเด็ก สามารถมีรายได้ รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูลูก และต้องมีการอบรมให้พ่อแม่มีทักษะในการดูแลลูกร่วมกัน แม้จะมีการหย่าร้างเกิดขึ้นแต่การเป็นพ่อแม่ยังไม่สิ้นสุด เพื่อเด็กได้เติบโตอย่างมีคุณภาพ
2.ครอบครัว โรงเรียน สถาบันการศึกษาทุกระดับ และสถานที่ทำงาน ต้องมีมาตรการความปลอดภัยจากการถูกทุบตี ทำร้าย คุกคามทางเพศ ความรุนแรงในทุกรูปแบบ โดย 2.1 กระทรวงศึกษาธิการ อบรมบุคลากรให้มีความรู้ทักษะในการคุ้มครองเด็ก ให้มีการจัดระบบการเรียนการสอนสร้างสิ่งแวดล้อมที่เด็กมีความสุข และรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย ครูประจำชั้น ครูแนะแนว ต้องทำงานเชิงรุก มองเห็นถึงความเปราะบางของเด็ก มีทักษะในการให้คำปรึกษา และเข้าช่วยเหลือแทรกแซงทันที เมื่อเห็นปัจจัยเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายหรือเกิดความรุนแรง เสียหายต่อเด็ก ร่วมบูรณการการคุ้มครองเด็กกับสหวิชาชีพอำเภอ ท้องถิ่นชุมชน และจังหวัด
2.2 กระทรวงมหาดไทย ต้องยกระดับศูนย์ช่วยเหลือทางสังคมตำบล ให้มีศักยภาพทำงาน และมีนักสังคมสงเคราะห์วิชาชีพประจำ เพื่อรองรับการดูแล คุ้มครอง เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ได้อย่างมีระบบ สามารถทำงานเชิงรุก ค้นหากลุ่มเปราะบาง เข้าคุ้มครอง ป้องกันเฝ้าระวังความรุนแรง บูรณการร่วมกับสหวิชาชีพอย่างมีประสิทธิภาพและให้คำนึงถึงระบบการให้บริการที่มีความละเอียดอ่อนในพื้นที่ที่มีความแตกต่างในมิติของเชื้อชาติ ศาสนา ชาติพันธุ์ แรงงานข้ามชาติที่ต้องได้รับการบริการอย่างทั่วถึง
เพิ่มการอบรมพนักงานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรท้องถิ่น บรรจุในหลักสูตรนายอำเภอ เกี่ยวกับกฎหมายคุ้มครองเด็ก สตรี และกลุ่มเปราะบาง ให้มีทักษะสามารถเข้าช่วยคุ้มครองกรณีเกิดเหตุความรุนแรงในชุมชน ควรเน้นการคุ้มครองผู้หญิงถูกกระทำด้วยความรุนแรงทุกรูปแบบทุกกรณี ด้วยการส่งเสริมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสนับสนุนเครือข่ายอาสาสมัครเฝ้าระวังและแทรกแซงการใช้ความรุนแรงต่อสตรี
2.3 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยกระดับการทำงานของพนักงานสอบสวนหญิง ให้เข้าไปสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงทุกรูปแบบร่วมกับสถานศึกษา ท้องถิ่น อสม. อพม. ตำรวจบ้าน ป้องกันเหตุ ลดการทำร้าย บาดเจ็บ การเสียชีวิตของเด็ก ผู้หญิง คนในครอบครัว โดยให้ใช้เป็นฐานการประเมินผลการเติบโตในสายงานให้พนักงานสอบสวนหญิงคือสามารถลดอาชญากรรมทั้งการละเมิดทางเพศ ความรุนแรงในครอบครัว และชุมชน ได้ และต้องมีฐานคิดการประเมินผลงานแตกต่างจากพนักงานสอบสวนชาย ที่ใช้เกณท์ชี้วัด การทำคดีอาญาร้ายแรงเข่น คดียาเสพติด ซ่องโจรอาชญากรรมข้ามชาติ เป็นต้น มาเป็นฐานในการประเมินผลความก้าวหน้าในสายอาชีพ
2.4 สนับสนุน ทุกรัฐบาล ต้องควบคุมและไม่ขยายเวลา ให้สถานบริการ แหล่งมั่วสุม อบายมุข เช่น การขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สารเสพติด บุหรี่ไฟฟ้า สถานบริการ โสเภณี การพนัน ขอให้ ยืนหยัด ให้อบายมุขเหล่านี้ ยังเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายและยังคงไว้ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อการปกป้องเด็กเยาวชนและลดปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ชุมชน สังคมในภาพรวม แต่ควรส่งเสริมเพิ่มสวนสาธารณะ พื้นที่สีเขียว กิจกรรมกลางแจ้งสร้างสรรค์ งานศิลปะ ดนตรีในสวน เดิน วิ่ง ออกกำลังกาย มุมอ่านหนังสือ ให้เด็ก เยาวชน ครอบครัว ได้มีกิจกรรมสร้างสุข ผ่อนคลายความเครียด เหมาะกับคนทุกวัยที่จะมาทำกิจกรรมร่วมกัน
3.เข้าถึงสิทธิการรักษา ส่งเสริมป้องกัน หลักประกันสุขภาพ สปสช. ของ กระทรวงสาธารณสุข และประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ให้สิทธิการรักษา การเจ็บป่วยของผู้หญิงฟรี เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก การจัดระบบ บริการเข้าถึงการคุมกำเนิด การยุติการตั้งครรภ์ของรัฐ ที่ปลอดภัย ฟรีและเข้าถึงได้ง่าย รวมถึงรัฐสวัสดิการผ้าอนามัยฟรีสำหรับ เด็กหญิง และผู้หญิงที่ยากลำบาก นอกจากนั้นยังควรให้ความช่วยเหลือหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อมและต้องการท้องต่อให้สามารถเก็บรักษาทารกในครรภ์จนอยู่รอดคลอดเป็นทารก
โดยให้ความช่วยเหลือที่พักระหว่างคลอด หากยังเรียนหนังสืออยู่ก็ควรจัดการศึกษาทดแทนไม่ให้เสียโอกาสทางการศึกษา หากขาดรายได้ก็ควรจัดงบประมาณชดเชยให้ระหว่างไม่สามารถทำงานไม่มีรายได้ หากแม่ไม่ประสงค์จะอุปการะเลี้ยงดูเด็กเอง ให้กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคม รับไปเป็นบุตรบุญธรรมของครอบครัวบุญธรรม เพราะอัตราเติบโตของพลเมืองไทยขณะนี้เป็นลบ จึงจำเป็นต้องฟูมฟักเด็กเกิดใหม่ทุกคนที่ขาดโอกาสให้ได้รับโอกาสเหมือนเด็กที่มีพ่อแม่มีความพร้อม
4.กระทรวงการต่างประเทศ ควรยกระดับการทำงานเชิงรุก คุ้มครองหญิงไทยที่ไปทำงาน แต่งงานในต่างประเทศ ป้องกันการถูกล่อลวง และการแสวงหาประโยชน์ทางเพศ ร่วมกับศูนย์ช่วยเหลือหญิงไทยของภาคเอกชน ในประเทศต่างๆ คุ้มครองสิทธิ ผู้หญิงที่ถูกล่อลวงหรือถูกทำร้ายจากสามี โดยจัดหาห้องพักฉุกเฉินรองรับระหว่างการรอส่งกลับประเทศ หรืออยู่ในขั้นตอนทางกฎหมาย และควรให้มีการสอบพยานไว้ล่วงหน้า รวมถึงคุ้มครองสิทธิ ในการช่วยเรียกร้องค่าแรงจากนายจ้างให้ผู้หญิงที่ถูกหลอกไปใช้แรงงานหรือบังคับให้ขายบริการทางเพศ
รวมถึงสิทธิในการเลี้ยงลูก การแบ่งสินสมรส กรณีที่มีการหย่าร้างจากสามีชาวต่างชาติ รณรงค์ป้องกัน รู้ก่อนเดินทาง ให้ อบต.ร่วมกับสำนักงานจัดหางานจังหวัด ศึกษาจังหวัด สถานทูตที่หญิงไทยเดินทางไปจำนวนมาก จัดกิจกรรมให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับผู้หญิงก่อนตัดสินใจเดินทางไปทำงานหรือแต่งงานกับชาวต่างชาติ บำบัดฟื้นฟูจิตใจ สร้างความมั่นคงในอาชีพ มีงานทำในชุมชน ให้กับกลุ่มผู้หญิงและครอบครัว ที่ได้รับการช่วยเหลือกลับมา สมาชิกทุกคนต้องมีรายได้ มีงานทำ เท่าทันสื่อออนไลน์ ลดปัญหาการถูกล่อลวง
5.กระทรวงแรงงาน ปฏิบัติตามมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ โดยยึดหลักมาตราฐานแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ซึ่งกฎหมายประกันสังคมได้ให้ลูกจ้างหญิงสามารถใช้สิทธิลาคลอดได้ 98 วัน โดยได้รับค่าจ้างจากประกันสังคม 45 วัน นายจ้าง 45 วัน แต่อีก 8 วันที่เพิ่มเข้ามา ต้องมีการจ่ายค่าจ้าง จากนายจ้าง โดยอิงกฎหมายคุ้มครองแรงงานและไม่คิดเป็นวันลาเพื่อการฝากครรภ์ ทั้งนี้การลาเพื่อการฝากครรภ์ กฎหมายประกันสังคม จะต้องจัดสวัสดิการแม่และเด็กของแรงงานหญิง โดยให้สิทธิเพิ่มวันการลาเพื่อการฝากครรภ์ ตรวจครรภ์ จำนวน 8 วัน โดยได้รับค่าจ้าง เงินจากส่วนดอกผลของกองทุนประกันสังคม
6.สร้างโอกาส สนับสนุนเพิ่มช่องทางพิเศษ ปรับแก้กฎระเบียบ การกำหนดเกณฑ์การประเมินผลการทำงานบนฐานของเพศสภาพ เปิดทางให้ผู้หญิงเข้ามาทำงานการเมืองการปกครอง การบริหารราชการแผ่นดิน ทุกระดับของหน่วยงานของรัฐ เอกชน ท้องถิ่น จังหวัด และระดับชาติ กรณีตัวอย่างของพนักงานสอบสวนหญิงที่สำนักงานตำรวจใช้เกณฑ์ประเมินในคดีอาญาร้ายแรง ซึ่งเป็นงานในส่วนหลักของพนักงานสอบสวนชาย
ในขณะที่คดีเพศ ความรุนแรงในครอบครัว ในความรับผิดชอบของพนักงานสอบสวนหญิง กลับเป็นคดีที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้ เป็นตัวชี้วัดในการประเมินผลงาน ทำให้ตำแหน่งพนักงานสอบสวนหญิงไม่มีความก้าวหน้า ผู้หญิงจึงไม่สนใจมาสมัครเป็นต้นทั้งที่พนักงานสอบสวนหญิงมีความจำเป็นในการให้บริการ ผู้เสียหายคดีเพศ ค้ามนุษย์ ความรุนแรงในครอบครัว หรือ ผู้กระทำผิดในคดีอื่นที่เป็นเด็ก เยาวชนผู้หญิง เป็นต้นอัตรากำลังกลับไม่เพียงพอทั่วประเทศมี 764 คน
7.เพิ่มการดูแลสุขภาวะอนามัยของผู้หญิง ในเรื่องอาคารสถานที่ ที่มีคนใช้จำนวนมาก โดยให้เพิ่มพื้นที่ห้องน้ำผู้หญิงให้เพียงพอ ทั่วถึง เอื้อต่อเพศสภาพที่ผู้หญิงต้องมีรายละเอียดด้านสุขภาวะมากกว่าชาย ลดการเข้าแถวรอ และการเจ็บป่วยจากโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในผู้หญิง และ 8.หน่วยงานภาครัฐ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ต้องมีมาตรการส่งเสริมบทบาท สร้างโอกาส ให้เกิดความเสมอภาคเป็นธรรมระหว่างเพศ คำนึงถึงเพศสภาพ ในการดำเนินงาน การเสนอนโยบาย และการจัดทำงบประมาณที่มีการใช้ฐานคิด Gender Responsive Budgeting (GRB) เพื่อเป็นหลักประกันให้หญิงชาย ตลอดทุกช่วงวัยได้เข้าถึงสิทธิ นโยบาย รัฐสวัสดิการ อย่างถ้วนหน้า เสมอภาค และเป็นธรรม
น.ส.ธนวดี ท่าจีน ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนหญิง กล่าวว่า สาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงอาจมาจากการวางแผนพัฒนาประเทศที่ไม่ได้คำนึงถึงความแตกต่างทางเพศสภาพ เช่น ผู้หญิงซึ่งมีความละเอียดอ่อน ต้องเป็นแม่ จะดูแลในประเด็นจำเพาะนี้อย่างไร ที่ผ่านมาการวางแผนพัฒนาประเทศจะเน้นเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ถนน รถไฟฟ้า ในขณะที่งบประมาณด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตยังได้รับการจัดสรรค่อนข้างน้อย ขณะที่ข้อเสนอประเด็นกองทุนแม่เลี้ยงเดี่ยว นอกจากรัฐจะอุดหนุนเงินช่วยผู้หญิงที่เป็นแม่แล้ว ควรไปไล่เก็บจากผู้ชายที่ไม่รับผิดชอบด้วย
“รัฐควรจะต้องไปเรียกแทนที่ผู้หญิงจะต้องเป็นคนไปฟ้องศาล ต่อไปนี้ขอให้ปรับเป็นว่ารัฐมีหน้าที่โอนเงินเข้ากองทุนนี้ก่อน แล้วหลังจากนั้นรัฐมีหน้าที่ไปตรวจ DNA ว่าพ่อของเด็กคือใครแล้วไปเรียกเก็บจากสามีมาคืนเข้ากองทุน เพื่อให้ผู้ชายมีส่วนรับผิดชอบ ไม่เช่นนั้นผู้ชายก็จะลอยตัว ทำตัวเหนือปัญหาแล้วก็ไปสร้างไปไข่ไว้อีกหลายที่” น.ส.ธนวดี กล่าว
ผอ.มูลนิธิเพื่อนหญิง ยังกล่าวอีกว่า ส่วนจุดยืนเรื่องไม่สนับสนุนให้รัฐบาลส่งเสริมอบายมุข หรือทำสิ่งผิดกฎหมายให้ถูกกฎหมาย เช่น สถานบริการ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ไฟฟ้า เรื่องนี้ตนทราบข่าวว่ามีรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) บางท่านพยายามขับเคลื่อนให้สิ่งเหล่านี้ถูกกฎหมาย โดยอ้างประโยชน์ด้านการเก็บภาษีเข้ารัฐ แต่ตนไม่เห็นด้วยเพราะนั่นคือภาษีจากความทุกข์ เงินที่ได้จากเหล้า บุหรี่ สถานบริการ การพนัน ล้วนมาจากการเบียดเบียนรายได้ของครอบครัว จึงไม่อยากให้ถูกกฎหมาย เพื่อแก้ปัญหาความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ดังที่ผ่านมาก็จะเห็นข่าวผู้ชายเมาเหล้าทำร้ายลูกเมีย ไปข่มขืน หรือวัยรุ่นทะเลาะวิวาทฆ่ากันตายหน้าสถานบริการ
น.ส.ชลีรัตน์ แสงสุวรรณ ผู้ประสานงานมูลนิธิพิทักษ์สตรี กล่าวว่า ตนเรียกร้องให้ภาครัฐมีมาตรการช่วยเหลือคุ้มครองผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ในต่างประเทศ ซึ่งกลุ่มนี้มักมีความเปราะบาง อยู่ในประเทศไทยขาดโอกาสสร้างรายได้เพียงพอเลี้ยงดูครอบครัว จึงต้องเดินทางไปตายเอาดาบหน้า ไปแสวงโชคในต่างแดน ในตะวันออกกลางบ้าง ยุโรปบ้าง ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศมีข้อจำกัดด้านการดูแล ส่วนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ก็มีข้อจำกัดด้านงบประมาณ
“รัฐอาจจะต้องคุ้มครอง ยกระดับกระทรวงการต่างประเทศให้ทำงานเชิงรุกมากขึ้นในการคุ้มครองผู้หญิงที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศ อาจจะคุ้มครองด้านสิทธิ แสวงหาความร่วมมือกับองค์การพัฒนาเอกชน (NGO) หรือรัฐบาลในแต่ละประเทศ ให้จัดหาสถานที่ให้ผู้หญิงในกรณีที่เขาหลบหนีออกมาจากสถานบริการหรือซ่อง แล้วเขาต้องการที่พักพิงระหว่างรอการส่งกลับ เพราะผู้หญิงไปส่วนมากจะถูกยึดพาสปอร์ต เวลาประกาศใน Social Media (สื่อสังคมออนไลน์) แล้วเขาคิดว่าเป็นการทำงานที่ปลอดภัย อันนี้ก็เป็นการตัดสินใจอันหนึ่งซึ่งก็มาจากการศึกษา ซึ่งเราทราบดีอยู่แล้วเรื่องการศึกษา เราอาจจะต้องมีการปรับด้วย” น.ส.ชลีรัตน์ กล่าว
ทั้งนี้ ภายในงานยังมีตัวแทนพรรคการเมือง 9 พรรค คือพรรคก้าวไกล พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย พรรคไทยสร้างไทย พรรคแรงงานสร้างชาติ พรรคชาติพัฒนากล้า พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ มารับข้อเสนอดังกล่าวด้วย
-
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี