วิธีเตรียมตัวก่อนวาร์ป กลับไปสมัย 'กรุงศรีอยุธยา'
สมมติว่าถ้าคุณสามารถเดินทางย้อนเวลากลับไปในช่วงกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีได้จริงๆ ละก็ เรามีคำแนะนำให้เตรียมพร้อมก่อนการเดินทางข้ามเวลาดังนี้
อันดับแรกเป็นการกล่าวถึงสภาพภูมิทัศน์ของกรุงศรีอยุธยาที่แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของทำเลที่ตั้ง จนทำให้อาหารการกินมากมายไม่เคยขาดแคลน “…แม่น้ำที่ชาวสยามเรียกกันว่าแม่น้ำนั้น หมายถึงแม่ของน้ำ เป็นแม่น้ำที่กว้างใหญ่และยาวมาก…เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก น้ำจะไหลล้นฝั่งทุกปี ในปีหนึ่งๆ ในบริเวณที่ราบจะมีน้ำนองถึง 5-6 เดือน เป็นผลให้พื้นดินมีความอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง เหมาะแก่การปลูกข้าว ทั้งชะล้างสิ่งโสโครกต่างๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคติดต่อหมดไป …พื้นดินทั่วไปอุดมสมบูรณ์ แต่บริเวณที่มีพลเมืองหนาแน่นมักจะอยู่ริมน้ำและบริเวณที่ราบในเมือง มีเมืองต่างๆ หลายเมือง สถานที่ๆเป็นตลาดและหมู่บ้านมากมาย
ประชาชนและหมู่บ้านในชนบท ทำงานในลักษณะทาส ทำงานในไร่นา เพาะปลูกธัญพืชทุกชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าว และยังมีครามเปียกจำนวนมาก นอกจากนั้นพวกเขาปลูกไม้ผลทุกประเภท โดยเฉพาะมะพร้าวและต้นหมาก พวกเขาเลี้ยงม้าขนาดเล็ก วัว หมู แกะ ห่าน เป็ด ลูกไก่ นกพิราบ และสัตว์ที่ถูกฝึกให้เชื่องอย่างอื่นๆ อีกมาก อาหารระหว่างปีที่อุดมสมบูรณ์จะมีราคาถูกมาก “ข้าวและปลาเค็ม ปลาแห้ง ในกรุงสยามราคาถูกอย่างเหลือหลาย..เพราะฉะนั้นชนชาตินี้ไม่ต้องห่วงถึงช่องทางหากิน ปล่อยตัวเกียจคร้าน ทุกบ้านทุกช่องกึกก้องไปด้วยเสียงร้องเพลงและเสียงชื่นชมโสมนัส ซึ่งเราจะไม่ได้ยินในชนชาติอื่น…
อาหารในชีวิตประจำวันของชาวสยามไม่ฟุ่มเฟือย อาหารคาวมีแต่ข้าว ปลา และผัก ไม่นิยมบริโภคเนื้อสัตว์ ส่วนอาหารหวาน ส่วนใหญ่จะเป็นผลไม้ เครื่องดื่มเป็นเพียงน้ำธรรมดา แต่หากเป็นงานเลี้ยงจะกินอาหารอย่างฟุ่มเฟือยและมีสุราเมรัยเพิ่มเติม
แต่สิ่งที่คุณจะต้องระวังเป็นอย่างมากนั่นก็คือ “โรคระบาด” นั่นเอง
กรุงศรีอยุธยาและบ้านเมืองแถบอุษาคเนย์ เกิดกาฬโรคระบาดเหตุเพราะการติดต่อค้าขายทางสำเภากับจีน เนื่องจากมีหลักฐานประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่ามีกาฬโรคระบาดในจีนเมื่อราว พ.ศ.1876 จากนั้นก็แพร่สู่อุษาคเนย์ โดยมีหมัดหนูเกาะติดตัวหนูอยู่ใต้ท้องสำเภา เมื่อสำเภาเทียบท่าจอดขนถ่ายสินค้าที่แห่งใด หนูใต้ท้องสำเภาก็เอาหมัดหนูออกไปแพร่เชื้อในบ้านเมืองแห่งนั้นตลอดเส้นทาง เช่นเดียวกับประเทศไทยในเวลานั้น มีผู้คนล้มตายจำนวนมากด้วยกาฬโรคระบาดดังปรากฎใน “ตำนานและพงศาวดารเรื่องพระเจ้าอู่ทองหนีโรคห่า แล้วสถาปนากรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 1893”
กรุงศรีอยุธยาช่วงกาฬโรคระบาด มีศูนย์กลางอยู่บริเวณวัดพนัญเชิง และวัดใหญ่ชัยมงคล ทางตะวันออกของเกาะเมืองอยุธยา กาฬโรคได้คร่าชีวิตทั้งคนชั้นสูง เจ้านาย ขุนนาง ข้าราชการ และไพร่ฟ้าประชาราษฎรไปเป็นจำนวนมาก ผู้คนที่รอดตายจากกาฬโรคต้องสร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นใหม่ มีร่องรอยในพระราชพงศาวดารว่ากษัตริย์ยุคนั้นได้ย้ายตำหนักจากที่เดิมไปอยู่ที่ใหม่ เรียกว่า “เวียงเหล็ก” บริเวณวัดพุทไธสวรรย์ เมื่อกาฬโรคระบาดสิ้นฤทธิ์หมดแล้วตามธรรมชาติ ในปี พ.ศ.1893 ตรงกับคริสต์ศักราช 1350 จึงได้มีการสถาปนานามเมืองใหม่เพื่อแก้อาถรรพณ์ว่า “กรุงศรีอยุธยา”
แน่นอนว่าสิ่งที่คุณต้องเตรียมตัวไปจากปี 2566 เพื่อวาร์ปกลับไปในปีนั้น ก็คือ .....
1. เตรียมยาปฏิชีวนะ
เป็นเรื่องสำคัญมากๆ เพราะในช่วงเวลานั้นโลกของเรายังไม่รู้จักยาปฏิชีวนะ ไม่รู้ว่าโรคติดเชื้อต่างๆ เกิดจากอะไรกันแน่ โลกทัศน์ของคนอยุธยาในเวลานั้นเชื่อกันว่าอาการป่วยของคนเกิดจากธาตุดินน้ำลมไฟในร่างกายไม่สมดุลกัน บางโรคก็มีสมมติฐานว่าเกิดจากโลหิตเป็นพิษ การรักษาก็ใช้ยาพื้นบ้าน ซึ่งหลายขนานก็ได้ผลดี แต่บางขนานก็อาจจะรักษาได้ไม่หายขาดยาปฏิชีวนะที่ใช้ฆ่าพวกมันนั้นเพิ่งจะค้นพบเมื่อไม่นาน โลกการแพทย์เปลี่ยนแปลงไปแบบก้าวกระโดดเมื่อ อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิง (Alexander Fleming) นักวิทยาศาสตร์ชาวสกอตแลนด์ ค้นพบเพนิซิลลิน ยาปฏิชีวนะตัวแรกของโลก เมื่อปี พ.ศ. 2471 ซึ่งตรงกับสมัยของรัชกาลที่ 7 กรุงรัตนโกสินทร์ หลังจากนั้นการรักษาโรคติดเชื้อก็กลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับมนุษยชาติ
2. เตรียมยาล้างแผลและฉีดวัคซีนบาดทะยักไปล่วงหน้า
บาดทะยักเป็นโรคร้ายแรง ซึ่งพบได้ทั่วไปในดินและมูลสัตว์ เป็นเชื้อที่มีความทนทาน สามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานเป็นปีๆ สามารถเติบโตได้ดีในที่ซึ่งไม่มีออกซิเจน ดังนั้นถ้าเกิดบาดแผลที่ไม่สะอาด เช่น ถูกมีดบาด เดินเท้าเปล่าไปถูกไม้ ถูกหินตำ แล้วโชคร้ายแผลไปปนเปื้อนกับเชื้อบาดทะยักเข้า เชื้อก็จะเข้าไปแฝงตัวและเติบโตในร่างกาย หลังจากนั้นราวๆ 5 วันถึง 15 สัปดาห์ คนไข้ก็จะเกิดมีไข้สูง ร่วมด้วยอาการขากรรไกรแข็ง อ้าปากยาก กินอาหารไม่ได้ ต่อมาก็จะเกิดอาการชัก หลังแอ่น เกร็งไปทั้งตัว มาถึงขั้นนี้ โอกาสรอดชีวิตก็น้อยเต็มที สมัยอยุธยาเรียกโรคนี้ว่า ‘ตะพั้น’ หรือ ‘สะพั้น’ เป็นโรคที่หมอแผนโบราณหวั่นวิตกมาก เพราะคนไข้มักจะไม่รอด
ที่น่าสนใจอีกประการก็คือ ตะพั้นในยุคนั้นมักเกิดกับมารดาหลังคลอดบุตร เพราะหลายครั้งการคลอดนั้นไม่สะอาด หมอตำแยบางคนใช้ไม้ไผ่ตัดสายสะดือเด็ก หากโชคร้ายไม้ไผ่สกปรก บางทีก็เกิดตะพั้นได้ทั้งแม่และเด็ก ว่ากันว่าอัตราการตายของแม่และเด็กในสมัยอยุธยานั้นมีสูงมาก
3.เตรียมร่างกายให้พร้อม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
เนื่องด้วยสมัยนั้น ไทยทำสงครามกับพม่าอยู่บ่อยครั้งถ้าคุณวาร์ปกลับไปสมัยกรีศรีอยุธยา แน่นอนว่า คุณต้องเตรียมพร้อมร่างกายในการ สู้รบกับ ทหารของพม่าอย่างแน่นอน แต่ถ้าท่านเป็นผู้หญิง ก็เตรียมฟิตร่างกายไว้สำหรับการวิ่งหนีของกองทัพพม่า
4.ยาสีฟันแปลงสีฟัน สบู่ ยาสระผม
แน่นอนสมัยนั้นต้องไม่มี ยาสีฟัน สบู่ ยาสระผมอย่างแน่นอน ถ้าคุณไม่เตรียมไป จาก พ.ศ.2566 คุณจะต้องหัดใช้ กิ่งข่อยทุบปลายให้ฟูนุ่มแล้วเอามาแปรงฟัน เนื่องจากคุณสมบัติของข่อยสามารถลดการอักเสบของเหงือกและยับยั้งแบคทีเรียได้ ส่วนวิธีใช้คือนำไปจุ่มน้ำสีฟันที่ทำจากเกลือ หรือในละครมีจุ่มผงขี้เถ้าแทนการใช้ยาสีฟันด้วย ถ้าไม่มีกิ่งข่อยสามารถใช้ใบข่อยแทนได้ ยุคนี้เราจะหากิ่งข่อยได้จากไหน ง่ายมากหาได้ตามริมรั้วบ้านที่ปลูก หรือ จะซื้อก็ราคาไม่แพง (แต่อย่าลืมกันนะว่า เงินบาทในปัจจุบันไม่สามารถให้ชำระหนี้ในยุคนั้นได้)
สุดท้ายนี้สิ่งที่เรานำเสนอเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยเท่านั้น ยารักษาโรคประจำตัวของท่านก็อย่าลืมติดตัวไปละ ขอให้ท่านสนุกกับการ วาร์ปกลับไปสมัยกรุงศรีอยุธยากันนะ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี