23 มี.ค. 2566 ศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำและนโยบายสังคม คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัดเสวนาหัวข้อ “ระบบบำนาญแห่งชาติเพื่อความเป็นธรรมและยั่งยืน สู่นโยบายพรรคการเมืองด้านระบบความคุ้มครองทางสังคมในผู้สูงอายุ” ที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์)
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า สังคมไม่ได้มีปัญหากับระบบสวัสดิการอีกทั้งยังเรียกร้องให้มีด้วย เป็นเสียงที่ดังมากในขณะนี้และเกินเลยไปกว่าประเด็นผู้สูงอายุด้วยซ้ำ ขณะที่ฝ่ายการเมืองก็รับลูก ตนไม่เชื่อว่าจะมีพรรคการเมืองใดไม่พูดเรื่องสวัสดิการ และหากจะพูดกันในทางการเมืองก็เป็นเรื่องยากด้วยที่จะพูดถึงตัวเลขต่ำกว่า 3,000 บาท ดังนั้นโจทย์ที่จะชัดเจนจึงอยู่ที่เรื่องการเงินการคลัง
แต่ก็มีความจริงที่ยอมรับกันว่าในทางการเมืองไม่ค่อยมีใครพูดเรื่องเก็บภาษี ตนเองก็เคยถูกเตือนมาว่าอย่าพูด แต่ในช่วงการเลือกตั้งปี 2562 เริ่มมีความเปลี่ยนแปลง เห็นได้จากเวลานั้นหลายเวทีมีการตั้งคำถามถึงพรรคการเมืองมากขึ้นว่าพอใจแล้วหรือกับการเก็บภาษีได้เพียงร้อยละ 13 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของประเทศ และเท่าที่ตนทราบก็ไม่เคยเห็นประเทศใดที่มีระบบสวัสดิการดีแล้วจะเก็บภาษีได้เพียงเท่านี้ คำถามใหญ่ที่ต้องพูดไปถึงพรรคการเมือง คือที่บอกจะจ่าย 3,000 บาทต่อคน ช่วยบอกด้วยว่าจะทำด้วยวิธีไหน
“ความคิดที่ผ่านมาที่เราไปลดภาษีเงินได้นิติบุคคลอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ช่วยทำให้เกิดการลงทุนใดๆ เลย ผมบอกได้เลยว่าธุรกิจหลายสาขา เอาเฉพาะธนาคาร โทรคมนาคม พลังงาน
อสังหาริมทรัพย์ 4 สาขานี้จ่ายภาษีอยู่ที่เกือบ 50% ของทั้งหมด การไปลดภาษีไม่ได้ช่วยให้เกิดการลงทุน ก็คือเป็นการแจกเงินไปให้ผู้ถือหุ้นกับพนักงานในสาขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง เรื่องเหล่านี้ต้องถูกนำมาเป็นส่วนประกอบของสมการด้วย” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า หากให้คิดเร็วๆ ตอนนี้ น่าจะยังขาดเงินอยู่อีกราวๆ 4-5 แสนล้านบาท แต่ถ้าจะหาทางเพิ่มภาษี หากไปถามใครๆ ก็คงบอกว่าให้ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ก่อนเพราะง่ายที่สุด แต่ภาษีมูลค่าเพิ่มก็เป็นภาษีที่เพิ่มความเหลื่อมล้ำ ทำให้เศรษฐกิจถดถอยอีกทั้งยังเติมเงินเฟ้อ แต่หากจะทำเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม ตนเห็นว่าต้องดำเนินการแบบ Earmarked หมายถึงระบุวัตถุประสงค์ของการเก็บและใช้ภาษีส่วนนั้นเป็นการเฉพาะ จึงจะเป็นที่ยอมรับของสังคมได้
โดยที่ผ่านมาตนก็เป็นคนหนึ่งที่คัดค้านการออกกฎหมายวินัยการเงินการคลัง ที่ระบุห้ามเก็บและใช้ภาษีแบบ Earmarked ด้วยเห็นว่าสังคมปัจจุบันคนไม่อยากจ่ายภาษีเพิ่มเพราะไม่พอใจการใช้จ่ายภาษีแบบที่เป็นอยู่ แต่หากประชาชนได้รับความชัดเจนว่า 1 บาทที่เติมเข้าไปกลับมาเป็น 1 บาทในบัญชีเงินออมของประชาชน ตนเชื่อว่าแบบนี้มีความเป็นไปได้ และจริงๆ ภาษีมูลค่าเพิ่มของไทยต้องจัดเก็บที่ร้อยละ 10 แต่มีการลดเป็นการชั่วคราว ลงมาเก็บที่ร้อยละ 7 เมื่อ 21 ปีก่อนแล้วก็ใช้อัตราชั่วคราวนี้มาจนปัจจุบัน
“ตอนที่ผมทำเบี้ยยังชีพภ้วนหน้าครั้งแรกก็ถูกวิจารณ์ว่าคนรวยได้ด้วย พูดง่ายๆ เศรษฐีอายุเกิน 60 ปีก็ได้ 500 บาท รัฐบาลก็รณรงค์ว่าใครที่รวยแล้วก็อย่าไปรับเลย 500 บาทนี้ ก็ได้ผลอยู่ประมาณไม่กี่เดือน หลังจากนั้นทุกคนก็ไปรับ ผมก็ส่งคนไปสอบถามว่าทำไมถึงมารับ คำคอบที่ได้คือฉันเอาไปทำบุญดีกว่าปล่อยให้รัฐบาลไปใช้ อันนี้เป็นการยืนยันว่าจุดที่มันขัดข้องในความรู้สึกคน ผมจึงต้องกลับมาเรื่อง Earmarked หลักของ Earmarked ต้องบอกกับคนว่า ที่คุณเคยเสีย 7% นั้น 3% ที่เพิ่มขึ้นมาคุณไม่ได้ส่งเข้าคลัง เพียงแต่รัฐบาลบังคับคุณออมเอาไว้” นายอภิสิทธิ์ ระบุ
นายเดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการ Think Forward Center ศูนย์นโยบายของพรรคก้าวไกล และอดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า เมื่อถามว่าจะหาเงินมาจากไหนก็ต้องพูดถึงเรื่องภาษี เริ่มจาก 1.ภาษีเงินได้ (ภงด.) แบ่งเป็นในส่วนของนิติบุคคล ให้แบ่งฐานเป็น 3 ระดับ คือรายเล็ก กำไร 3 แสน-3 ล้านบาทต่อปี เสียภาษีร้อยละ 10 รายกลาง กำไร 3 ล้าน-30 ล้านบาทต่อปี เสียภาษีร้อยละ 15 และรายใหญ่ กำไร 300 ล้านบาทต่อปีขึ้นไป เสียภาษีร้อยละ 23 เพื่อสร้างความแตกต่างมากขึ้นระหว่างผู้ประกอบการรายเล็กและรายใหญ่
ซึ่งคาดว่าหากปรับโครงสร้างภาษีแบบนี้รัฐจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 9 หมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันในส่วนของบุคคลธรรมดา ต้องหาทางให้คนเข้ามาอยู่ในระบบภาษี และปรับปรุงการลดหย่อนภาษีให้เป็นธรรม 2.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เสนอให้เก็ยแบบรวมแปลง หมายถึงนำจำนวนที่ดินที่ผู้ครอบครองถือครองรวมกันทั้งประเทศมาคำนวณภาษี และเก็บแบบอัตราก้าวหน้าตามมูลค่าที่ดินที่เป้นราคาประเมินตั้งแต่ 300 ล้านบาทขึ้นไป
อีกด้านหนึ่งก็คาดหวังว่าการเก็บภาษีที่ดินแบบรายแปลงจะจัดเก็บได้ดีขึ้น หากทำได้ในส่วนของภาษีที่ดินทั้ง 2 ประเภท รัฐจะมีรายได้เพิ่มอีก 1.5 แสนล้านบาท และ 3.ภาษีความมั่งคั่ง วัดจากความมั่งคั่งสุทธิเกิน 300 ล้านบาท ก็จะเริ่มเสียด้วยอัตราร้อยละ 0.5 หมายถึงหากหักลบหนี้สินหมดแล้วเหลือ 300 ล้านบาท ก็เสียภาษี 1.5 ล้านบาท ยังเหลืออีก 298.5 ล้านบาท ถือว่าไม่เท่าไร ถือว่าขอนำเงินนี้มาพัฒนาประเทศ คาดว่ารัฐจะได้เงินเพิ่มอีก 6 หมื่นล้านบาท
นายเดชรัต กล่าวต่อไปว่า ส่วนการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม เท่าที่เคยสอบถามประชาชน พบคำตอบคือยังไม่พร้อมจะจ่ายเพิ่ม แม้จะระบุวัตถุประสงค์ของการเก็บและใช้เงินภาษีในส่วนที่เพิ่มขึ้นไว้เป็นการเฉพาะก็ตามว่าจะย้อนกลับมาที่ประชาชนและอาจจะได้กลับมามากขึ้นด้วยเพราะมีส่วนของคนอื่นๆ ที่บริโภคมากกว่า โดยแสดงให้เห็นเลยว่าเมื่ออายุ 60 ปีจะได้เท่าไร แต่เรื่องนี้คาดว่าน่าจะเป็นเงื่อนไขด้านเวลา หากได้เห็นกฎหมายที่ยืนยันสวัสดิการพื้นฐานของประชาชนอย่างแท้จริง ตนก็หวังว่าในอนาคตคำตอบจะเปลี่ยนไป
“เรื่องนี้ตั้งใจ ไม่ใช่ว่าเป็นเม็ดเงินใหญ่อะไร เพียงแต่ถ้าคนไทยทุกคนได้เห็น ได้จ่ายภาษีไปมันกลับคืนมากับเขาอย่างไร ผมคิดว่าผมอยากเห็นการเสียภาษีที่เต็มด้วยความภูมิใจว่าเราได้เสียภาษี เพราะฉะนั้นเราก็พยายามทำเรื่องนี้ต่อไป เราอยากจะเปลี่ยนภาพลักษณ์ คือเราบางครั้งอยู่ในสังคมที่ไม่อยากเสียภาษีแล้วเราเก็บเงินไปทำบุญ ตกลงเราจะเปลี่ยนเป็นว่าการเสียภาษีคือการทำบุญที่มีความเสมอภาค ขณะเดียวกันก็น่าจะมีประสิทธิภาพที่สุดด้วย” นายเดชรัต กล่าว
ศ.ดร.เอื้อมพร พิชัยสนิธ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า เมื่อพูดถึงการเก็บภาษีก็ต้องมีความเป็นธรรม และเป็นความเป็นธรรมของประชาชนจริงๆ ไม่ใช่ของนักวิชาการหรือฝ่ายการเมือง ต้องสร้างการตระหนักรู้สิทธิและหน้าที่ของสวัสดิการต่างๆ โดยต้องให้ข้อมูลทั้ง 2 ด้าน ทั้งในส่วนที่จะได้มาและส่วนที่ต้องเสียไป เพื่อนำไปสู่การตกผลึกทางความคิดและหาจุดร่วมกันในสังคมว่าตกลงแล้วเราต้องการรูปแบบไหน
เช่น กลุ่มประเทศในภูมิภาคยุโรปเหนือ หรือสแกนดิเนเวีย ผู้คนแถบนั้นมีค่านิยมความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน หรือ Solidarity ด้านหนึ่งประเทศในกลุ่มดังกล่าวมีสวัสดิการที่ดีมากแต่อีกด้านคนก็ต้องจ่ายภาษีในอัตราสูงเช่นกัน แต่สังคมของเขาตกลงกันแล้วว่ายอมรับในรูปแบบนี้ เป็นฉันทามติที่สะท้อนออกมาทางการเมือง ขณะที่ประเทศซึ่งนิยมระบบทุนเสรี การจ่ายภาษีก็จะน้อยกว่าประเทศแถบสแกนดิเนเวีย ซึ่งแน่นอนว่าสวัสดิการก็ย่อมจะไม่ได้มากมายเท่าประเทศแถบสแกนดิเนเวียด้วย แต่นั่นก็เป็นทางเลือกของประชาชนในประเทศเหล่านั้นที่เขามีประชามติกัน
“กลับมาดูของประเทศเรา ของเราดูเหมือนจะเป็นค็อกเทลอยู่ ก็คือมีหลากหลายความคิดมาก แล้วก็มีการคุยกันเรื่องเล็กๆ ยิบย่อยกันมาก เช่นอัตราเงินภาษี นู่นนี่นั่น แต่ว่าภาพใหญ่เราไม่ทราบ เรายังไม่มีประชามติที่ชัดเจนว่าเราจะเลือกแบบไหนจะเอาแบบไหน แล้วถ้าเราเลือกแบบไหนแล้วก็ต้องตระหนักถึงระดับภาษีที่ประชาชนจะต้องจ่าย คือมันต้องมาเป็นแพ็คเกจ หรือว่าจริงๆ แล้วเราก็ยังงงๆ อยู่ว่าต้องการแบบไหน ก็ไม่แปลก อย่างนิยายรักหลายๆ เรื่อง พระเอก-นางเอกก็ไม่รู้ตัวว่าเริ่มต้นต้องการอะไร แต่ก็เรียนรู้ค้นหาตัวเอง” ศ.ดร.เอื้อมพร กล่าว
นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า เรื่องบำนาญแห่งชาติหรือสวัสดิการผู้สูงอายุ หลายพรรคการเมืองให้ความสนใจแม้จะต่างกันในเชิงรายละเอียด แต่ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี ดังนั้นหากจะขับเคลื่อนให้สำเร็จ มีเรื่องของการใช้ประโยชน์จากมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ โดยมติสมัชชาสุขภาพครั้งที่ 15 หรือครั้งล่าสุด เมื่อเดือน ธ.ค. 2565 มีการกล่าวถึงสถานการณ์ของสังคมสูงวัย ซึ่งต้องมีการรองรับถึง 5 เสาหลัก คือ 1.การพัฒนาผลิตภาพประชากร 2.เงินอุดหนุนและบริการสังคมที่จำเป็นจากรัฐ
3.การขยายการออมระยะยาว ที่เปรียบเหมือนปิ่นโต 3 ชั้น คือชั้นล่างสุดเป็นบำนาญพื้นฐานรัฐให้เท่ากันทุกคน ชั้นกลางเป็นการออมแบบร่วมจ่าย และ ชั้นบนคือการซื้อประกันเพิ่มเติมส่วนบุคคล คือไม่ใช่ทุกอย่างต้องเท่ากันหมด แต่ในระดับพื้นฐานทุกคนต้องเท่ากัน 4.การขยายการบริการด้านสุขภาพแบบการดูแลระยะยาว หรือ Long Term Care และ 5.ระบบการดูแลกันเองในครอบครัว ชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) นอกจากนั้นก็ต้องให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของคนทุกวัย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่
“เรื่องภาษี Earmarked จากการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่ ก็เห็นด้วยนะถ้าเกิดมีการเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่อมาใช้เป็นการเฉพาะ แต่ถ้าเพิ่มทั่วไปสงสัยมีเสียงค้านพอสมควร อีกเรื่องคือที่มีการพูดเรื่องน่าจะมีการจัดเวทีก่อนการเลือกตั้งเรื่องภาษีหรือรายได้ที่มารองรับ พอดีทาง สช. มีแนวคิดจะจัดเวทีช่วงปลายเดือน เม.ย. 2566 เป็นเวที่สนทนาสาธารณะ หรือสนทนานโยบายที่มารองรับเรื่องนี้ ก็คงเชิญชวนทางธรรมศาสตร์มาร่วมเป็นเจ้าภาพจัดด้วย” นพ.ประทีป กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี