“พื้นที่อนุรักษ์ vs สิทธิประชาชน” เป็นอีกประเด็นที่ขัดแย้งกันเสมอมา ระหว่างฝ่ายรัฐที่มองว่าพื้นที่เหล่านั้นไม่ควรมีใครเข้าไปอยู่อาศัยหรือทำมาหากิน มีการจับกุมดำเนินคดีอย่างต่อเนื่อง กับฝ่ายประชาชน (รวมถึงภาควิชาการ) ที่ชี้ว่าชุมชนกับพื้นที่อนุรักษ์สามารถอยู่ร่วมกันได้บนฐานความรู้ความเข้าใจในการใช้และบริหารจัดการทรัพยากร และเรื่องนี้ก็เป็นหัวข้อที่หลายพรรคการเมืองได้หยิบยกขึ้นมาประกาศเป็นนโยบาย ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 14 พ.ค. 2566
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก่อนหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) ร่วมกับ ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) และอีกหลายองค์กร เปิดเวที “ท้าทายนโยบายที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติของพรรคการเมือง การเดิมพันเจตจำนงแห่งกรรมสิทธิ์รวม บนการต่อสู้สู่สังคมประชาธิปไตย : ที่ดิน เสรีภาพ ประชาธิปไตย” ณ ห้องประชุมใหญ่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีตัวแทนจาก 7 พรรคการเมือง ซึ่งบางท่านก็เคยเป็นอดีต สส. ชุดที่เพิ่งยุบสภาไป หรือที่เป็นผู้ลงสมัคร สส. ร่วมให้ความเห็น
มานพ คีรีภูวดล อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกลเปิดเผยว่า ทางพรรคเตรียมร่างกฎหมายเข้าสู่กลไกรัฐสภาไว้แล้ว40 ฉบับ ในจำนวนนี้ 7 ฉบับ เกี่ยวกับประเด็นที่ดินและป่าไม้ ไล่ตั้งแต่การยกเลิก พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 ซึ่งเจตนารมณ์ในการเกิดขึ้นของกฎหมายดังกล่าวคือเพื่อการค้าไม้ โดยประเด็นที่ต้องเปลี่ยนคือการที่กฎหมายเขียนว่าป่าหมายถึงที่ที่ยังไม่มีกรรมสิทธิ์ เท่ากับทั้งชุมชน วัด โรงเรียน ล้วนอยู่ในเขตป่า จึงต้องเปลี่ยนใหม่ให้สอดคล้องกับหลักสากล นั่นคือป่าคือพื้นที่อนุรักษ์เท่านั้น ไม่ทับซ้อนกับที่อยู่อาศัยและที่ทำกินของประชาชน
เช่นเดียวกับ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 ที่มีปัญหามากในมาตรา 12 เพราะประชาชนหลายคนที่อยู่ในเขตป่าถูกจับกุมโดยไม่ได้แจ้งสิทธิ์ จึงต้องเปิดช่องให้คนที่มีคดีความได้พิสูจน์สิทธิ์ หรือมาตรา 4 ว่าด้วยนิยามของป่า รวมถึงต้องมีกระบวนการรังวัดเพื่อพิสูจน์กรรมสิทธิ์ที่ดินของคนที่อยู่มาก่อนกฎหมายประกาศใช้ อีกทั้ง
จะมีการตั้งกองทุนที่ดิน จัดงบประมาณไว้ 1 หมื่นล้านบาท ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ไปดำเนินการพร้อมกัน ไม่ต้องทยอยทำทีละไม่กี่หลังคาเรือน
“เราจะเพิ่มเติมเรื่องของคณะกรรมการป่าสงวนท้องถิ่น ตอนนี้มีแต่ระดับชาติ มันต้องมีคณะกรรมการดูแลทรัพยากร ตรงนี้เป็นการกระจายอำนาจโดยตรง ไม่ใช่จะทำห้องน้ำ จะทำศูนย์เด็กเล็กต้องไปถามอธิบดี ทำไมไม่ถาม อบต. ถามคนในหมู่บ้าน พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติเราก็ยกร่างไปแล้ว เอาเรื่องสำคัญๆ เราจำเป็นต้องแยกพื้นที่ทับซ้อนที่อ้างกันอยู่ 4,000 หมู่บ้าน 4 ล้านกว่าไร่มีกองทุนไปพิสูจน์ มีแผนที่ มีกระบวนการมีส่วนร่วมลงไปพิสูจน์ เพิกถอนเขตอุทยานที่มันทับซ้อนกับประชาชน” มานพ กล่าว
ณัฐปคัลภ์ ศักดิ์ปิยเมธากุล ผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส. เขต 1 จังหวัดแม่ฮ่อนสอน พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า ครอบครัวตนก็เคยได้รับผลกระทบจากการประกาศพื้นที่อนุรักษ์ทับพื้นที่ทำกิน ทั้งที่สภาพพื้นที่ไม่มีความเป็นป่าแต่รัฐก็ประกาศว่าเป็นป่า อีกทั้งที่ดินแปลงเดียวยังคาบเกี่ยวกับกฎหมายถึง 3 ฉบับ ทั้งกฎหมายป่าไม้ กฎหมายอุทยาน กฎหมายเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า รวมถึงที่ผ่านมาได้ช่วยว่าความให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ ที่ถูกจับกุมในคดีป่าไม้
นอกจากนั้น ประมวลกฎหมายที่ดินที่มีผลบังคับใช้มานานก็แทบไม่เคยมีการแก้ไข ทั้งที่ประชาชนได้รับผลกระทบมากที่สุด เช่น ประชาชนใน จ.แม่ฮ่องสอน ไม่สามารถออกโฉนดที่ดินได้ เพราะติดเงื่อนไขข้อจำกัดด้านความลาดชันห้ามเกิน 45 องศา เรื่องนี้ต้องถูกแก้ไข แม้ไม่ถึงขั้นออกโฉนดแต่อย่างน้อยต้องออกเอกสาร น.ส.3 ให้ประชาชนได้รู้สึกอุ่นใจ เพราะกฎหมายถูกบัญญัติขึ้นด้วยหลักการเพื่อคุ้มครองสิทธิและความอยู่ดีกินดีของประชาชน ดังนั้นต้องสามารถแก้ไขได้ แม้กระทั่งกฎหมายสูงสุดอย่างรัฐธรรมนูญก็เช่นกัน
“พรรคชาติไทยพัฒนา ท่านวราวุธ ศิลปอาชา ท่านนิกร จำนง ตระหนักถึงตรงนี้ อยากจะแก้ไขเรื่องป่าสงวน พ.ร.บ. พวกนี้ มาตราไหนที่กระทบกับพวกเรา เอาไปแก้ไขให้หมด ไม่ใช่ชาวบ้านเขาทำมาหากินอยู่ดีๆ ป่าไม้ไปจับเขาออกมา บอกว่าบุกรุกป่าสงวนบ้าง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าบ้าง อุทยานบ้าง ผมไม่เอา ก็ต้องเพิกถอน พ.ร.บ.ป่าไม้-ป่าสงวน ออกไปจากชาวบ้าน ไม่ใช่จับชาวบ้านมาดำเนินคดี” ณัฐปคัลภ์ กล่าว
มนตรี บุญจรัส รองโฆษกพรรคประชาชาติ กล่าวว่า ประเทศไทยมีพื้นที่ 323 ล้านไร่ คนไทยร้อยละ 99 ครอบครองที่ดินเฉลี่ย 2-3 ไร่/คน แต่มีคนเพียงร้อยละ 1 ที่สามารถครอบครองที่ดินตั้งแต่ 100 ไร่ขึ้นไปจนถึงหลักหมื่นไร่ ขณะเดียวกัน เกษตรกรกว่า 1.1 ล้านครัวเรือนยังต้องเช่าที่ดินในการประกอบอาชีพ ในพื้นที่ 18 ล้านไร่ ดังนั้นต้องมีการแก้กฎหมายตั้งแต่ระดับรัฐธรรมนูญ
นอกจากนั้นต้องแบ่งที่ดินกันใหม่ เช่น ป่าเสื่อมโทรม 10 ล้านไร่ป่าไม้ถาวร 2 ล้านไร่ ส.ป.ก. 5 ล้านไร่ ที่ราชพัสดุ 6 ล้านไร่ ที่สาธารณประโยชน์ 7 ล้านไร่ เหล่านี้อยู่กับหน่วยงานของรัฐ ซึ่งจากการศึกษาพบว่า มีความเป็นไปได้ที่จะดึงที่ดินส่วนนี้มาให้เกษตรกร1 ล้านครัวเรือน เฉลี่ยครัวเรือนละ 20 ไร่ เช่น พื้นที่ที่ไม่มีสภาพความเป็นป่าแต่ไม่ได้ถูกใช้ให้เกิดประโยชน์
“ประเทศไทยเรามีศักยภาพในการผลิตสินค้าเกษตรเหลือกินเหลือใช้ เพียงไม่กี่ประเทศในโลก แต่เราไม่สามารถส่งออกไปได้เพราะเขาตรวจสอบว่ายางพารา ข้าวโพด อ้อย ปาล์ม มัน โกโก้ กาแฟ หรือแม้กระทั่งการเลี้ยงสัตว์ โค กระบือ ถ้าตรวจสอบว่าอยู่ในพื้นที่ป่าเราส่งออกไม่ได้ เมื่อส่งออกไม่ได้ พวกเราในที่นี้และพี่น้องทั้งประเทศที่มีที่ดินเพียง 2-3 ไร่ มีที่ดินน้อย ต้องเช่าที่ดินทำกินอยู่ก็จะไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้” มนตรี กล่าว
คะติมะ หลีจ๊ะ ตัวแทนพรรคสามัญชน กล่าวว่า สำหรับพรรคสามัญชน ที่ดินเป็นประเด็นอันดับ 1 ไม่ว่าจะอยู่ภาคไหนในประเทศไทย โดยพรรคสนับสนุนการแก้ไขหรือยกเลิกทั้งกฎหมายป่าไม้ โครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช.)ที่จำกัดสิทธิประชาชน แต่ส่งเสริมเรื่องโฉนดชุมชน การกระจายที่ดิน โดยเฉพาะสิ่งที่อยากเห็นมากที่สุดคือทุกคนมีโฉนดในที่ดินของตนเอง มีการกันพื้นที่ให้ชัดเจนระหว่างเขตป่ากับเขตชุมชน รวมถึงนิรโทษกรรมคดีป่าไม้กว่า 4 หมื่นคดี เพราะทุกครั้งที่ลงพื้นที่รู้สึกถึงความไม่เป็นธรรม
ซึ่งต้องบอกว่าเรื่องทำนองนี้ไม่ได้มีแต่ในประเทศไทยแต่เป็นกันทั่วโลก ผู้ที่อยู่อาศัยกับทรัพยากรธรรมชาติล้วนได้รับผลกระทบ ดังนั้นอย่างแรกเราต้องมีตัวตนก่อน จากนั้นต้องมีส่วนร่วมในการจัดการชีวิตของเราเอง อาจไม่ต้องเริ่มในระดับประเทศแต่เริ่มที่ชุมชนก่อน หากทุกคนในชุมชนเท่ากัน สามารถพูดคุยและบริหารจัดการกันเองได้ ก็จะค่อยๆ ขยับขยายเพิ่มขึ้นต่อไป อีกทั้งสนับสนุนร่างกฎหมายสภาชนเผ่าพื้นเมือง และการเก็บภาษีอัตราก้าวหน้า
“อันนี้คือการเปลี่ยนแปลงจากฐานราก นี่คือแนวคิดของสามัญชน เพราะฉะนั้นถามว่าเราจะแตะไหม? แตะ! ถามว่าจะทำอะไรไหม? 1.ปฏิรูปหรือแก้ไขกฎหมายป่าไม้ 2.ส่งเสริม พ.ร.บ. ของพวกเรา ฉบับพีมูฟ เพราะเป็นฉบับที่ดีที่สุดในเรื่องของเขตป่า ฉบับของ พ.ร.บ.สภาชนเผ่าพื้นเมือง มันคือการสร้างบ้านหลังหนึ่งให้
ชนเผ่ามีตัวตนแต่หลังจากนั้นมันจะมีฉบับของพีมูฟก็คือเรื่องนี้ และเชื่อมั่นว่าทุกคนควรจะมีที่อยู่อาศัย เพราะบ้านก็คือที่ และที่ทำกินก็คือที่ เพราะฉะนั้นขาดที่ดินไม่ได้ ทุกคนต้องเข้าถึง” คะติมะ กล่าว
พันธวัช ภูผาพันธกานต์ ผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส. เขต 5 จังหวัดเชียงราย พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐออกกฎหมายบนฐานคิดว่าทรัพยากรทุกอย่างทั้งผืนฟ้า ผืนดินและผืนน้ำล้วนเป็นของรัฐ ประชาชนเพียงได้รับการจัดสรรจากรัฐให้ใช้ประโยชน์ แต่ภาคประชาชนก็พยายามต่อสู้ว่าทรัพยากรเป็นของประชาชน เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ โดยเฉพาะจากการพูดคุยกันภายในพรรค พบปัญหาเกิดขึ้นมากภายหลัง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ ฉบับล่าสุด (พ.ศ.2562) ประกาศใช้ มีผู้ถูกจับกุมดำเนินคดีมากมายดังนั้นพรรคจะผลักให้แก้ไขกฎหมาย
แต่ก่อนจะไปถึงการแก้กฎหมาย สิ่งที่ต้องทำให้ได้คือการรับรองสิทธิของชุมชนในการอยู่ร่วมกับป่า ทั้งการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ รวมถึงการเร่งออกเอกสารสิทธิในที่ดินทุกประเภทเพื่อแก้ไขปัญหาความทับซ้อน โดยต้องแยกที่อยู่อาศัยและที่ทำกินออกจากที่ป่าให้ชัดเจน และสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่เข้ามา
บริหารจัดการ ซึ่งตลอด 8 ปีที่ผ่านมา รัฐล้มเหลวในการบริหารจัดการทรัพยากรเพราะขาดการมีส่วนร่วม
“เราต้องการเปิดพื้นที่ใหม่ให้พี่น้องประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรของตนเอง เราจะเยียวยาผู้ถูกจับกุมหรือนิรโทษกรรมความผิดที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับประเด็นกฎหมายต่างๆ เหล่านี้ แล้วกลับมาสู่การพิสูจน์สิทธิ์กันใหม่ เริ่มดำเนินการนับกระบวนการกันใหม่ ภายใต้การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนโดยเฉพาะของพี่น้องประชาชน นั่นคือความตั้งใจของพรรคพลังประชารัฐวันนี้เรากำลังก้าวเข้าสู่มิติใหม่ เราไม่ใช่พรรคพลังประชารัฐแบบที่ผ่านมา แบบที่ท่านเข้าใจ” พันธวัช กล่าว
จักรวาลธวัฒน์ วรรณาวงค์ ผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส. เขต 1จังหวัดเชียงใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การบริหารจัดการทรัพยากรที่ผ่านมาเน้นหนักแต่สิทธิของภาครัฐ หรือเรียกว่าระบบกรรมสิทธิ์ภาครัฐ (State Property) ขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับทรัพย์สินของภาคเอกชน (Private Property) แต่ที่ถูกละเลยไปคือสิทธิชุมชน (Common Property) ซึ่งเป็นสิทธิที่สำคัญที่สุด เป็นระบบกรรมสิทธิ์ร่วมที่ชุมชนควรเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติร่วมกัน โดยพรรคประชาธิปัตย์ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
เช่น พรรคเคยผลักดันนโยบายป่าชุมชนและโฉนดชุมชน รวมถึงตลอด 4 ปีล่าสุดของการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล พรรคผลักดันนโยบายประกันรายได้เกษตรกร ส่วนการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคประกาศนโยบายออกโฉนดที่ดิน 1 ล้านแปลงภายใน 4 ปี ซึ่งปัจจุบันระบบราชการของไทยมีศักยภาพในการออกโฉนดที่ดินเพียง 1 แสนแปลงต่อปี แต่ยังมีอีก 4 ล้านแปลง หรือราว 21 ล้านไร่ที่คงค้าง ซึ่งเป็นที่ดินของคนเล็กคนน้อยหรือเกษตรกรที่จำเป็นต้องมีกรรมสิทธิ์ที่ดิน เนื่องจากต้องนำไปใช้เป็นมาตรฐานในการจัดการแปลง
“จากการส่งออกหรือค้าขายผลผลิตที่มีมาตรฐานเหล่านี้เข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ต้องเป็นมาตรฐานที่ต้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน นั่นก็คือโฉนดที่ดิน ส่วนที่สองก็คืออันนี้ผมคิดว่าเป็นส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์กล้าประกาศนโยบายนี้ออกมา นั่นก็คือการออกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้กับผู้ทำกินในที่ดินของรัฐ ซึ่งจะมี 2 ลักษณะด้วยกัน”ผู้แทนพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
ทรงธรรม โรจนเครือวัลย์ หัวหน้าพรรคพลังสยาม กล่าวว่า กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับที่ดินมี 5 ฉบับ แต่ที่ชาวบ้านได้รับผลกระทบมากที่สุดคือกฎหมายอุทยานและกฎหมายป่าไม้ ดังนั้นมีหลายมาตราต้องถูกแก้ไขเพราะไม่สอดคล้องกับวิธีชีวิตอีกทั้งยังละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน จึงต้องแก้ไขเพื่อให้คนอยู่ร่วมกับป่าให้ได้อย่างเกื้อกูลกัน ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมบริหารจัดการป่าไม้และที่ดิน
“ในฐานะนักกฎหมาย เป็นทนายความไปช่วยชาวบ้านในคดีเหล่านี้เยอะ ชาวบ้านลำบาก ไปหาหอย-กุ้ง-ปู-ปลาแค่นี้เพื่อเป็นการหล่อเลี้ยงชีวิตครอบครัวก็โดนจับ ถูกดำเนินคดี อันนี้มันไม่เป็นธรรม เป็นการละเมิดสิทธิประชาชน ต้องช่วยกันให้ผู้มีอำนาจเห็นเพื่อที่จะได้ช่วยกันแก้ไข เพื่อให้ประชาชนอยู่สงบ บ้านเมืองไปกันได้” หัวหน้าพรรคพลังสยาม กล่าว
ในเวที “ท้าทายนโยบายที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติของพรรคการเมือง การเดิมพันเจตจำนงแห่งกรรมสิทธิ์รวม บนการต่อสู้สู่สังคมประชาธิปไตย : ที่ดิน เสรีภาพ ประชาธิปไตย” ครั้งนี้ ภาคประชาชนที่ร่วมจัดงานได้มีข้อเสนอเรื่องนโยบายการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากร ประกอบด้วย “การจัดการป่า” ยกเลิกทวงคืนผืนป่าและแผนแม่บทแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรป่าไม้
ยกเลิกกฎหมายคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) และกลไกที่เกี่ยวข้อง ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี วันที่30 มิถุนายน 2541 และมติอื่นที่เป็นอุปสรรคในการบริหารจัดการที่ดินโดยชุมชน ยกเลิก พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ, พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า และพ.ร.บ.ป่าชุมชน ยกเลิกการพัฒนา BCG ที่แย่งยึดที่ดินชุมชนสู่การพัฒนาสีเขียว ยกเลิกการผูกขาดความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านป่าไม้ไว้กับองค์กรใดองค์กรหนึ่ง
“ที่ดิน” กระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม จำกัดการถือครองที่ดิน ตามข้อเสนอของภาคประชาชน มีมาตรการปกป้องคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม ให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมและกำหนดการพัฒนาโครงการพัฒนาที่กระทบต่อสิทธิในที่ดินที่ประชาชนยกระดับประมวลกฎหมายที่ดิน หาแนวทางพิสูจน์สิทธิ เพิกถอนที่ดินของรัฐที่ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย กระจายสิทธิที่ดินสู่เกษตรกรไร้ที่ดิน
“โครงการพัฒนาของรัฐ-เอกชนการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม”ต้องผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชน โครงการพัฒนาของรัฐส่งผลกระทบต่อชุมชน ต้องจัดสรรที่ดินทดแทนจากการแย่งยึดที่ดินชุมชน และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างเป็นธรรม ประชาชนทุกคนต้องได้รับการพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่สอดคล้องกับความต้องการชุมชนและท้องถิ่นในที่ดินทุกประเภท
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี