วันวิสาขบูชาโลกไทย-ลาวแห่ไหว้อุรังคธาตุวัดพระธาตุพนมฯเสมือนได้ใกล้ชิดเบื้องพระบาทพระพุทธเจ้า
วันที่ 3 มิ.ย.66 วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ตั้งแต่ช่วงเช้าเป็นต้นมา ได้มีประชาชนทั้งชาวไทย ชาวลาว ตลอดจนพุทธศาสนิกชน นักท่องเที่ยวทั่วสารทิศ ทางเดินทางมาทำบุญกราบไหว้ขอพรองค์พระธาตุพนม สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง อายุเก่าแก่กว่า 2,500 ปี โดยจากตำนานพระอุรังคนิทาน บันทึกไว้ว่าได้มีการก่อสร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 8 หรือหลังสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานได้ 8 ปี ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำคัญทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากภายในองค์พระธาตุพนม เป็นที่ประดิษฐานพระอุรังคธาตุ หรือกระดูกส่วนหน้าอกของ พระพุทธเจ้า ทำให้เป็นสถานที่สำคัญ ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา รวมถึงวันวิสาขบูชา ได้มีประชาชน นักท่องเที่ยว พุทธศาสนิกชนทั่วโลก เดินทางมากราบไหว้ขอพร เสมือนได้ใกล้ชิดเบื้องพระบาทสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยตลอดทั้งวันวิสาขบูชานี้ จะมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา รวมถึงมีการเวียนเทียนถวายเป็นพุทธบูชาไปจนถึงช่วงเย็น
ขณะเดียวกันได้ส่งผลดีต่อ บรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่จำหน่ายดอกไม้ ถวายเป็นพุทธบูชา โดยเฉพาะดอกบัว ดอกดาวเรือง เท่าที่สังเกตการณ์มีราคาแพงขึ้นเท่าตัว เนื่องจากปีนี้สภาพอากาศแห้งแล้ง มีผลกระทบต่อการปลูก ผลผลิตออกดอกน้อยหายาก ดอกบัวจึงมีราคาแพงถึงดอกละ 10 บาท ส่วนดอกดาวเรือง มีราคาดอกละ 1-2 บาท แม้ดอกไม้จะมีราคาสูงขึ้น ศาสนิกชนชาวพุทธก็ยินดีซื้อ เพื่อนำไปกราบไหว้ถวายเป็นพุทธบูชาต่อองค์พระธาตุพนม
ทั้งนี้สิ่งสำคัญชาวพุทธยังได้น้อมรำลึก 48 ปี สำหรับการยืนยันที่ค้นพบ พระอุรังคธาตุ หรือกระดูกส่วนหน้าอกของพระพุทธเจ้า ภายหลังเกิดเหตุการณ์องค์พระธาตุพนมล้ม เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2518 ทำให้มีการพบผอบบรรจุพระอุรังคธาตุ จำนวน 8 องค์ โดยจากที่เคยศึกษาตามประวัติเรื่องเล่าตำนานพระอุรังคนิทาน มาตั้งแต่การก่อสร้างองค์พระธาตุพนม ที่บันทึกถึงการบรรจุพระอุรังคธาตุ แต่ไม่มีช่องทางเข้าไปค้นหาได้ เนื่องจากลักษณะพระธาตุองค์เดิมถูกปิดตายด้วยดินเผาทุกด้าน จนกระทั่งพระธาตุพนมล้มลง จึงเข้าไปค้นหาและเป็นสิ่งยืนยันว่า ภายในมีการบรรจุพระอุรังคธาตุ หรือกระดูกส่วนหน้าอกของพระพุทธเจ้าไว้จริง
ตามตำนานพระอุรังคนิทาน ระบุไว้ว่า สมัยหนึ่งในปัจฉิมโพธิกาล พระพุทธเจ้า พร้อมพระอานนท์ ได้เสด็จมาทางอากาศ เพื่อไปบิณฑบาตที่เมืองศรีโคตรบูร สปป.ลาว ภายหลังได้มาประทับแรมที่ภูกำพร้า คือ จุดที่ก่อสร้างองค์พระธาตุพนมในปัจจุบัน จากนั้นพญาอินทร์ ได้เสด็จมาทูลถาม ซึ่งพระพุทธองค์ได้ตรัสว่า เป็นประเพณีของพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ ในภัททกัลป์ที่นิพพานไปแล้ว บรรดาสาวกจะนำพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ที่ภูกำพร้า เช่นกันกับพระพุทธองค์ เมื่อนิพพานแล้ว พระมหากัสสะปะ ผู้เป็นสาวก จะได้นำเอาพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้เช่นกัน
ภายหลัง พระพุทธเจ้าปรินิพาน พระมหากัสสะปะ ผู้เป็นสาวก ได้ร่วมกันสร้างองค์พระธาตุพนมขึ้น เพี่ออัญเชิญพระอุรังคธาตุมาประดิษฐาน ในปี พ.ศ.8 ทั้งนี้จากหลักฐานที่พบ ระบุว่าสร้างในราวประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 -14 สมัยอาณาจักรศรีโคตรบูร กำลังเจริญรุ่งเรือง โดยการนำของพญาเจ้าเมืองทั้ง 5 และพระอรหันต์ 500 องค์ ได้ก่อสร้างจากดินดิบเป็นเตาสี่เหลี่ยม ข้างในเป็นโพรงมีประตูทั้ง 4 ด้าน ต่อมาได้มีการบูรณะครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.500 และทำการบูรณะต่อเนื่องมารวมถึง 6 ครั้ง
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2518 พระธาตุพนมได้พังทลายลง เนื่องจากฐานเก่าแก่ ทำให้เป็นที่ฮือฮา เพราะได้พบเห็นผอบแก้ว บรรจุพระอุรังคธาตุ 8 องค์ ไว้ภายใน และมีการลงเข็มรากสร้างพระธาตุพนมองค์ใหม่ เมื่อปี 2519 เป็นเจดีย์ทรงฐาน 4 เหลี่ยม ความสูงจากพื้นถึงยอดฉัตร 57 เมตร ฐานกว้างด้านละ ประมาณ 12 เมตร ยอดฉัตรเป็นทองคำ โดยภายในบนชั้น 3 ขององค์พระธาตุได้อัญเชิญพระอุรังคธาตุ หรือกระดูกส่วนหน้าอกของพระพุทธเจ้า ประดิษฐานไว้อย่างวิจิตร จากนั้นทุกปีได้มีการจัดพิธีเฉลิมฉลอง บูชาองค์พระธาตุพนมสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ที่สำคัญถือเป็นงานประเพณีที่ยิ่งใหญ่ ส่งผลดีทั้งการท่องเที่ยว และสร้างเศรษฐกิจ เงินหมุนเวียนสะพัดตลอดทั้งปี
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2542 ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (UN) สมัยสามัญ ครั้งที่ 54 สรุปความว่า วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ทรงตรัสรู้ เสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้มวลมนุษย์มีเมตตาธรรมและขันติธรรม ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพื่อให้เกิดสันติสุขในสังคม อันเป็นแนวทางของ สหประชาชาติ จึงขอให้ที่ประชุมรับรองข้อมตินี้ และมีมติเห็นพ้องต้องกันประกาศให้วันวิสาขบูชา ถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของโลก
ทั้งนี้ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทรงเป็นมหาบุรุษผู้ให้ความเมตตาต่อหมู่มวล มนุษย์ทั้งหลายในโลก จะเห็นได้จากการยกเลิกแบ่งชนชั้นวรรณะ ซึ่งเท่ากับเป็นการเลิกทาสโดยไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อ นอกจากนี้พระองค์ยังทรงเป็นนักอนุรักษ์สัตว์ป่าอีกด้วย กล่าวคือ ทรงสอนให้ไม่ฆ่าสัตว์ ให้รู้จักช่วยเหลือสัตว์ เหตุผลสำคัญ อีกประการหนึ่งคือ พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้ทุกศาสนาสามารถเข้ามาศึกษาพุทธศาสนาเพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จจริงได้ โดย ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธและทรงสั่งสอนทุกคนโดยใช้ปัญญาธิคุณสอนโดยไม่คิดค่าตอบแทน - 003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี