เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล จัดเสวนา (ออนไลน์) หัวข้อ “สถานการณ์การใช้สื่อของเด็กและประสบการณ์จากพ่อแม่” มีวิทยากร 2 ท่าน โดย พิมพ์ลดา แจ้งเจนเวทย์ ผู้ปกครอง เล่าว่า ตนเองมีลูก 2 คน ลูกคนโตเป็นวัยรุ่นมีกลุ่มเพื่อนที่จะชวนกันบอกว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้น่าสนใจ ไม่ว่าอาหาร แฟชั่น ฯลฯ ซึ่งเพื่อนจะมีผลมากกับการใช้ชีวิตของวัยรุ่น นอกจากนั้น สำหรับวัยรุ่นยุคปัจจุบันยังมีสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) เป็นอีกปัจจัยที่มีผลเช่นกัน เพราะว่างเมื่อใดก็จะดูเมื่อนั้น
แต่ด้วยความที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูก ดังนั้นลูกก็มักจะมาเล่าเรื่องต่างๆ ที่ได้พบเจอให้ฟังอยู่ตลอด เช่น พูดถึงอาหารที่เพื่อนชวนให้ลองชิม ทำให้คนเป็นแม่มีโอกาสทำความรู้จักอาหารนั้น อาทิ สลากผลิตภัณฑ์ คุณภาพสินค้า เพื่อช่วยให้คำแนะนำลูก เพราะวัยรุ่นจะไปบังคับคงเป็นเรื่องลำบาก ขณะที่ลูกคนเล็กยังเป็นเด็กชั้นประถมปลาย อาการการกินแม่ยังเป็นคนซื้อเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีบ้างที่ไปเห็นในสื่อสังคมออนไลน์แล้วมาขอให้แม่ซื้อให้
“อิทธิพลจากสื่อที่เขาได้ดูได้เห็น บางทีเขาดูยูทูบ (Youtube) ดูอะไรที่เขาสนใจ สักพักก็จะมีโฆษณาเข้ามา ถ้าเป็นรายการเกี่ยวกับเด็ก พวกโฆษณาอาหารหรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเด็กจะแบบพักหนึ่งเดี๋ยวมาๆ แต่โชคดีที่เขาซื้อเองไม่ได้ ก็มาบอกแม่ซื้อให้หน่อย เราก็มาคุยกันว่าอันนั้นดีไหม? อันนี้ดีไหม? แต่มีอิทธิพลกับเขาจริงๆ” พิมพ์ลดา กล่าว
พิมพ์ลดา กล่าวต่อไปว่า ในการพูดคุยทำความเข้าใจกับลูก หากไม่ใช่ของที่ต้องการมาก ก็จะถามว่าสิ่งนั้นมีประโยชน์หรือไม่ เพราะลูกโตพอจะวิเคราะห์ได้แล้วว่าสิ่งใดมีหรือไม่มีประโยชน์ หากอะไรที่ไม่มีประโยชน์แต่มีรสชาติอร่อย หากดูแล้วไม่อันตรายเกินไป ก็จะลองกินเป็นครั้งคราวโดยตนเองก็ลองไปพร้อมกับลูกด้วย ซึ่งก็มีบ้างเช่นกันที่ทั้งแม่และลูกเห็นตรงกันว่าอาหารนั้นไม่อร่อยเหมือนกับที่โฆษณาหรือแนะนำกันในสื่อ หรือหากอร่อยก็ต้องเลือก อาทิ ไม่เค็มมาก รสไม่จัด
ฐาณิชชา ลิ้มพานิช ประธานกรรมการ บริษัทส่งเสริมบทบาทพ่อแม่เพื่อสังคมจำกัด กล่าวว่า ย้อนไปเมื่อ 20 ปีก่อน หรือในปี 2546 เคยทำการศึกษาร่วมกับสำนักวิจัยเอแบคโพลล์มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ว่าด้วยอิทธิพลของสื่อโทรทัศน์ที่มีผลต่อพฤติกรรมเด็ก ในยุคนั้นผู้ปกครองมองว่า แม้สื่อจะมีอิทธิพลกับบุตรหลาน แต่ยังอยู่ในระดับปานกลางพอรับได้
กระทั่งเมื่อ 2 เดือนก่อนจะมาร่วมเสวนาในครั้งนี้ ได้ทำกลุ่มพูดคุยของผู้ปกครอง พบว่า ผู้ปกครองเองก็มีปัญหาสุขภาพ เช่น เป็นโรคอ้วน โรคความดัน โรคหัวใจ และมีเสียงสะท้อนว่า ด้วยสภาพเศรษฐกิจทำให้ไม่สามารถดูแลบุตรหลานด้วยตนเอง ส่วนคนที่ดูแล (เช่น ปู่ย่าตายาย) ก็ซื้ออาหารหรือขนมที่เป็นปัจจัยเสี่ยงเข้ามาในบ้าน ดังนั้น ปัจจุบันกับ 20 ปีก่อนแตกต่างกัน ทั้งเรื่องสื่อและพัฒนาการของสินค้าอาหาร-ขนม
“ชวนคิดช่วงโควิด ไม่ไปไกลมาก ทุกคนประสบเหมือนกันหมด เดลิเวอรี่มาเลย อะไรก็ได้สั่งแล้วรวดเร็วทันใจ ไม่ต้องออกไปซื้อเพราะโรคระบาด สิ่งเหล่านี้ก็จะมีมาพร้อมกับโฆษณา เราก็ใช้ Social Media ตอนนี้ Social Media มันมาไกลแล้ว ไกลกว่าสื่อโทรทัศน์เยอะเลย แล้วมันก็ 24 ชั่วโมง มันไม่สามารถควบคุมได้ อย่างทีวีตอนที่เราทำเรตติ้งเรายังคุมเรื่องเวลาโฆษณาหรือการจัดเรตละคร
เมื่อช่องทางหลากหลาย สินค้าก็พัฒนาขึ้นมาก แล้วมันไม่ใช่แค่สื่อ Social Media ถ้าเราออกไปมองเห็นข้างนอก ป้ายโฆษณาต่างๆ ก็จะเห็นมีการโฆษณาสิ่งเหล่านี้ คำถามคือผู้ปกครองรับมืออย่างไร? วันนี้เราคุยกันไม่ได้หมายความว่าห้ามกิน แต่เลือกกินอย่างไร? มันห้ามไม่ได้ เป็นสิทธิของผู้บริโภค แต่สิทธิอันจำเป็นของผู้บริโภคคือการที่เขาได้รับความคุ้มครองและทางเลือกที่ปลอดภัย” ฐาณิชชา กล่าว
อย่างไรก็ตาม “แม้ด้านหนึ่งสื่อจะมีอิทธิพลกับเด็ก แต่อีกด้านคนในบ้านก็มีอิทธิพลกับเด็กเช่นกัน” เพราะผู้ปกครองก็เป็นสื่อประเภทหนึ่ง “พฤติกรรมใดที่ผู้ใหญ่แสดงให้เห็นก็จะเป็นแบบอย่างต่อการบริโภคของเด็ก” ทั้งนี้ บนพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์มีบุคคลที่มีชื่อเสียงมาโฆษณาสินค้าต่างๆ ตั้งแต่อาหาร เสื้อผ้า เครื่องสำอาง ฯลฯ แต่ปัจจัยสำคัญคือ “ถ้าสัมพันธภาพในครอบครัวดีผู้ปกครองกับบุตรหลานก็พูดคุยกันได้” จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่างน้อยก็ได้แลกเปลี่ยนกัน!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี