เพิ่มแหล่งอาหารในป่า 'พระราชดำริแห่งพระเมตตาต่อช้างและสรรพสัตว์' (โดย..พระเท้าเปล่า)
"ช้างควรอยู่ในป่าเพียงแต่ต้องทำให้ป่านั้นมีอาหารให้ช้างพอเพียง การปฏิบัติคือให้ไปสร้างอาหารในป่าเป็นแปลงเล็กๆและกระจาย กรณีช้างออกมาที่ชายป่าต้องให้ความปลอดภัยแก่ช้าง" (พระราชดำริใน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9)
เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา ที่อ่างเก็บน้ำภูไท เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน จังหวัดฉะเชิงเทรา "พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท" องคมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการปลูกพืชอาหารช้างป่า เฉลิมพระเกียรติ 71 พรรษา พร้อมด้วย "นายอรรถพล เจริญชันษา" อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช "นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี" ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา "พระชายกลาง อภิญาโณ" แห่งวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก พร้อมคณะผู้บริหารสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 2 (ศรีราชา) หัวหน้าส่วนราชการอำเภอท่าตะเกียบ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และจิตอาสาเข้าร่วม เพื่อไปเพิ่มแหล่งอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการของช้างป่า ลดปัญหาช้างป่าออกหากินนอกพื้นที่ป่าอนุรักษ์ และเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดี ศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน
อีกทั้งส่งเสริมการมีส่วนร่วมระหว่างชุมชน ประชาชน และองค์กรต่างๆ ภาครัฐและเอกชนในการปลูกพืชอาหารช้างป่า โดยปลูกต้นไม้พืชอาหารสัตว์ป่า 72 ต้น จัดทำโป่งเทียม 2 แห่ง และหว่านเมล็ดหญ้าเพื่อเป็นการ ปรับปรุงและซ่อมแซมแปลงพืช
ทั้งนี้ ปัจจุบันพื้นที่ป่าภาคตะวันออกประสบปัญหาช้างป่าออกหากินนอกพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่า ทั้งในเรื่องการทำลายพืชผลทางการเกษตรทรัพย์สิน สิ่งปลูกสร้างและการทำร้ายประชาชนจนได้รับบาดเจ็บ พิการหรือเสียชีวิต โดยปัญหาดังกล่าวสาเหตุหนึ่งมาจากในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ขาดแคลนแหล่งอาหาร จึงมีการปลูกพืชอาหารเสริม ให้เพียงพอต่อความต้องการของช้างป่า โครงการดังกล่าวนี้ได้รับการสืบสานพระราชดำริมายาวนานต่อเนื่องถึงรัชกาลปัจจุบัน ที่ทรงเห็นและเอาพระราชหฤทัยใส่ต่อ "ช้าง" สัตว์คู่บ้านคู่เมืองและบรรดาสรรพสัตว์อื่นๆในป่าบ้านเมืองเรา
ขอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2543 โดยโครงการฟื้นฟูอาหารช้างป่าภูหลวง บ้านน้ำค้อ ตำบลทรายขาว อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 หรือ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จมาประทับแรม ทรงทราบปัญหาช้างป่าออกไปรบกวนพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน พระองค์ทรงเป็นห่วงทั้งช้างทั้งคน จึงมีพระราชเสาวนีย์ให้กรมป่าไม้ในสมัยนั้น ปลูกพืชอาหารช้าง เพื่อดึงช้างกลับคืนสู่ป่า
หน้าที่ของโครงการภูหลวง คือ สร้างแหล่งน้ำ แหล่งอาหาร สร้างโป่ง เพราะในธรรมชาติมีไม่เพียงพอ พืชอาหารโปรดของช้างมี ไผ่ กล้วย อ้อย หว้า มะม่วงป่า มะไฟป่า เพราะช้างเป็นมังสวิรัติร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงจำเป็นต้องหาแร่ธาตุตามโป่งดินเป็นอาหารเสริม เช่นเดียวกับ เก้ง กวาง หมี เสือปลา เสือโคร่ง และสัตว์ป่าอีกหลายชนิด
เมื่อแร่ธาตุจืดจาง จะถูกทอดทิ้งเพื่อไปหาแหล่งอาหารใหม่ การเข้าไปเติมความสมบูรณ์ให้โป่งร้างด้วยเกลือและแร่ธาตุที่ใช้เลี้ยงสัตว์ โดยที่นี่มี 25 โป่ง ปรากฎว่ามีช้างเข้าทุกโป่ง
ทั้งนี้ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง มีพื้นที่ 560,000 กว่าไร่ เป็นพื้นที่ทำกินประมาณ 2 แสนไร่ เนื่องจากการประกาศเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯสมัยก่อน เครื่องมือเครื่องไม้ในการวัดพิกัดยังไม่ทันสมัย ทำให้มีชุมชนซึ่งอยู่อาศัยดั้งเดิม 12 หมู่บ้านอยู่ภายในเขตด้วย รัฐบาลจึงประกาศเป็นเขตผ่อนปรน อนุญาตให้ทำกินแต่ห้ามบุกรุกเพิ่ม
จากการสำรวจจำนวนช้างในปี พ.ศ.2542 มี 50 ตัว ปี พ.ศ.2558 มี 98 ตัว ซึ่งพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง รองรับช้างได้เต็มที่ 130 ตัว
ส่วนแหล่งน้ำนั้นช้างกินน้ำเฉลี่ยวันละ 200 ลิตรต่อ 1 ตัว นอกจากแหล่งน้ำที่มีอยู่ ทางโครงการภูหลวงจึงได้ออกค้นหาพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีน้ำซึมน้ำซับ ขุดเป็นแหล่งกักเก็บน้ำ ทำทางลาดสำหรับให้ช้างเดินขึ้นลงได้อย่างปลอดภัย บ่อไหนแคบก็จะขยายให้กว้างขึ้น โดยมักทำไว้สองบ่อให้อยู่ใกล้ๆ ไม่ห่างกันนัก เพราะนิสัยของช้างป่า จะแยกบ่อสำหรับดื่มกินกับบ่อที่ยกโขลงลงไปนอนแช่เล่นสนุก ไม่ใช้ร่วมกันเหมือนสัตว์ชนิดอื่นและมีรั้วไฟฟ้า ที่กระแสไฟไม่ทำอันตรายต่อคนและสัตว์ เพราะเป็นไฟฟ้ากระแสผลัก โดนแล้วแค่สะดุ้งแต่ไม่ดูดเหมือนไฟบ้าน มีความยาวประมาณ 12 กิโลเมตร
ด้านเขตการดูแลของสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 9 สาขาปราจีนบุรี โดยการร่วมกับศูนย์ประสานงานอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้กลุ่มป่าภาคตะวันออกที่ 2 จังหวัดฉะเชิงเทรา ส่วนส่งเสริมการป่าไม้ และหน่วยป้องกันและพัฒนาป่าไม้สนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา ก็ร่วมกันปลูกพืชอาหารให้แก่ช้างป่าอย่างสม่ำเสมอ เช่น การปลูกกล้วยจำนวน 1,500 หน่อ/เหง้า อ้อยจำนวน 500 ท่อน เพิ่มเติมที่แปลง A1 เนื้อที่ประมาณ 15 ไร่ ณ อ่างน้ำวราวุธ โครงการฟื้นฟูอนุรักษ์แหล่งน้ำช้างป่าบ้านนายาว ตำบลท่ากระดาน อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อสร้างแหล่งอาหารให้ช้าง ดึงช้างป่าที่ออกหากินนอกเขตพื้นที่อนุรักษ์กลับคืนสู่ป่า
หรือย้อนไปถึงโครงการปลูกพืชอาหารช้างป่า กุยบุรี บริเวณป่าสงวนแห่งชาติและอุทยานแห่งชาติป่ากุยบุรี อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ.2541 ที่ได้ทรงพระราชทานไว้ว่า “…ให้ปลูกสับปะรดที่คุณภาพไม่จำเป็นต้องดีนักสำหรับเป็นอาหารช้าง โดยที่ลูกค้าของสับปะรดคือช้าง และเพื่อให้ช้างและคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข ให้ชาวบ้านมาช่วยดูแลพืชอาหารช้าง พร้อมทั้งให้ค่าตอบแทนเขาด้วย…”
และเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2541 ได้ทรงมีพระราชดำริอีกว่า “…ให้ดำเนินการจัดหาพื้นที่ปลูกพืชอาหารเพิ่มเติมให้แก่ช้างป่า…”
และจากแนวพระราชดำริดังกล่าว มูลนิธิช่วยชีวิตสัตว์ป่าแห่งประเทศไทยจึงได้เสนอขออนุมัติเพื่อสนองพระราชปณิธานดังกล่าว ไปยังแม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการดำเนินงานโครงการและเพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณของทางภาครัฐ
มูลนิธิช่วยชีวิตสัตว์ป่าแห่งประเทศไทย จึงได้รับการอนุมัติให้ดำเนินการดังกล่าวโดยมีเนื้อที่รับผิดชอบประมาณ 300 ไร่ ซึ่งเคยเป็นพื้นที่แปลงสับปะรดร้างในเขตป่าสงวนและอุทยานแห่งชาติ ซึ่งราษฎรได้เก็บเกี่ยวพืชผลและย้ายออกจากเขตไปหมดแล้ว อีกทั้งยังเป็นแนวกันชนที่ติดต่อไปยังเขตพื้นที่ของชาวบ้านซึ่งยังคงปลูกสับปะรดอยู่ เพื่อเป็นการป้องกันและบรรเทาข้อพิพาทระหว่างคนกับช้างซึ่งพบว่าช้างป่าเกิดความเคยชินในการกินพืชไร่ของชาวบ้านจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนโดยการว่าจ้างชาวบ้านให้ดูแลและบำรุงพันธุ์สับปะรดที่มีอยู่เดิมโดยแบ่งระยะเวลาการดำเนินการโครงการออกเป็น 3 ระยะ
ระยะที่ 1 ปี พ.ศ.2542 ปรับปรุงแปลงสับปะรดที่รกร้างให้เป็นอาหารธรรมชาติปรับปรุงบำรุงแหล่งโป่งธรรมชาติและจัดทำโป่งเทียมขึ้นอีกตามความเหมาะสม ดำเนินการศึกษาค้นคว้าวิจัยตามหลักวิทยาศาสตร์ถึงพฤติกรรมของช้างป่ากุยบุรีเพื่อการวางแผนการจัดการอย่างเหมาะสมในอนาคต
ระยะที่ 2 ปีพ.ศ.2543 ปลูกพืชอาหารช้างแซมในพื้นที่ ระหว่างไร่สับปะรดและปรับปรุงแหล่งโป่งธรรมชาติและโป่งเทียม และทำการศึกษาค้นคว้าวิจัยต่อเนื่องถึงพฤติกรรมของช้างป่ากุยบุรี
ระยะที่ 3 ปีพ.ศ.2544 ปลูกพืชอาหารช้างและพันธุ์ไม้ซึ่งขึ้นอยู่ตามสภาพป่าธรรมชาติเพื่อทดแทนบริเวณที่ปลูกสับปะรด หลังจากที่สับปะรดเดิมหมดสภาพไปจนกว่าจะเต็มพื้นที่ปลูกป่าธรรมชาติ เป็นการเพิ่มปริมาณอาหารตามธรรมชาติของช้างป่าและสัตว์ป่าอื่นๆ และทำการปรับปรุงบำรุงแหล่งโป่งธรรมชาติและโป่งเทียม ทำการศึกษาวิจัยต่อเนื่องถึงพฤติกรรมของช้างป่ากุยบุรีต่อไป
กิจกรรมการทำโป่งเทียมให้ช้างและสัตว์ป่า หน่วยงานภาครัฐ-เอกชน จึงร่วมใจกันทำมาต่อเนื่องและดึงเด็ก-เยาวชนมาร่วมด้วย อย่างการทำโป่งเทียม ในพื้นที่จังหวัดนครนายก ณ หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ที่ ขญ.13 (นางรอง) เขตการจัดการอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ที่ 6 หรือที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ก็มักจะชวนนักท่องเที่ยวและจิตอาสาร่วมเที่ยวและทำกิจกรรมเพื่อสังคม หรือ CSR (Corporate Social Responsibility) ทำโป่งเทียมในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ร่วมกันใช้จอบขุดดินและปรับดินให้ร่วนก่อนเติมเกลือทำโป่งเทียมเพื่อเพิ่มแร่ธาตุ เช่น แมกนีเซียม โซเดียม และ วิตามิน ให้กับสัตว์ป่าอย่าง ช้าง กระทิง กวาง เก้ง และ หมูป่า ที่ปัจจุบันมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
ปัจจุบัน อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มีการทำโป่งเทียมในพื้นที่หลายจุด อาทิ โป่งทุ่งกวาง โป่งหนองผักชี โป่งชมรมเพื่อน และอีกหลายจุด
ทั้งนี้ โป่งเทียม ยังมีประโยชน์อีกทางหนึ่งคือ ช่วยดึงดูดสัตว์ป่าไม่ให้ลงไปหากินพืชผลทางการเกษตรของชาวบ้านที่อาศัยใกล้กับแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ได้อีกด้วย
โป่งเทียมเป็นโป่งที่มนุษย์สร้างขึ้นส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นโป่งดิน โดยการขุดดินในบริเวณที่เลือกไว้ให้เป็นแอ่งแล้วนำเกลือสมุทรลงไปผสมกับดินบริเวณที่ขุดขึ้น เมื่อมีฝนตกหรือความชื้นจากน้ำค้าง เกลือก็จะละลายทำให้ดินบริเวณนั้นเค็ม สัตว์ป่าชนิดต่างๆ ก็จะพากันมากินดินเหล่านี้
โดยบริเวณที่นิยมเลือกทำโป่งเทียม คือ 1.บริเวณพื้นที่ที่เคยเป็น "ดินโป่ง" มาก่อน แต่ดินเริ่มเสื่อมความเค็มลง และยังมีสัตว์ป่าลงมากินอยู่ 2.บริเวณพื้นที่ที่เป็น "โป่งร้าง" ซึ่งดินเสื่อมสภาพ และไม่มีสัตว์ป่าลงมากินหรือมาใช้ประโยชน์แล้ว 3.บริเวณพื้นที่ที่มีลักษณะคล้ายกับดินโป่งธรรมชาติ 4.บริเวณพื้นที่ที่เป็นด่านสัตว์ หรือใกล้กับด่านสัตว์ที่สัตว์ต้องเดินผ่านเป็นประจำอยู่แล้ว
นอกจากนี้ ที่ผ่านมา กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ร่วมกับ กองทัพบก กระทรวงมหาดไทย กรมป่าไม้ และหมู่บ้านคชานุรักษ์ ได้ร่วมกันจัดทำโครงการปลูกพืชอาหารช้างโดยเทคนิคโปรยเมล็ดด้วยอากาศยาน เฉลิมพระเกียรติ ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาสิบห้าชั้น จังหวัดจันทบุรี ตามที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระราชดำริเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาช้างป่า มีความตอนหนึ่งว่า ...
“…เนื่องจากมีสัตว์ป่าอยู่ในพื้นที่จำนวนมาก โดยเฉพาะที่อาศัยอยู่ในป่าลึก จึงควรมีการปลูกพืชเสริม เพื่อเป็นอาหารของสัตว์ป่า โดยทดลองนำพันธุ์พืชขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปโปรยในกลางป่าบริเวณต่าง ๆ เพื่อให้เติบโต และเป็นอาหารของสัตว์ป่า ซึ่งอาจเป็นทฤษฎีใหม่อีกแบบ...” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธาน “สืบสาน รักษา ต่อยอด” พระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ต่อการจัดการปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่า โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม รับ “โครงการพัชรสุธาคชานุรักษ์” ซึ่งเป็นโครงการอนุรักษ์ป่าและช้าง เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างคนและช้างอย่างมีสุข ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์
ซึ่งโครงการปลูกพืชอาหารช้างโดยเทคนิคโปรยเมล็ดด้วยอากาศยาน เฉลิมพระเกียรติ ดำเนินการในพื้นที่ป่าที่เคยถูกบุกรุกทำลายและได้รับการฟื้นฟูสภาพป่า โดยภารกิจการปลูกและบำรุงป่าได้เสร็จสิ้นการดำเนินการไปเป็นเวลานานหลายปีแล้ว ส่วนใหญ่พืชที่ปลูกเดิมไม่ใช่พืชอาหารช้าง ทำให้ขาดความหลากหลายทางชีวภาพ ตามหลักการจัดการระบบนิเวศสำหรับสัตว์ป่า โดยเฉพาะช้างป่า อีกทั้ง พื้นที่เหล่านี้ ตั้งอยู่ในป่าลึก ไม่มีเส้นทางเข้าถึง
ดังนั้น การดำเนินกิจกรรม จึงเป็นการน้อมรำลึกถึงพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
โดยกิจกรรมได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะกองทัพบก และอำเภอแก่งหางแมว จังหวัดจันทบุรี เพื่อเป็นการฟื้นฟู ถิ่นที่อยู่อาศัยของช้างป่า ให้มีความสมบูรณ์สืบไป ซึ่งพื้นที่บริเวณนี้ เดิมมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูสภาพป่า และขณะนี้กำลังเสริมความสมบูรณ์ของป่าเพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยของช้างป่า และเพื่อดึงให้ช้างกลับเข้าไปอยู่ในป่าลดความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน
โดยการดำเนินการ ได้ใช้เมล็ดพืชอาหารช้าง 69 ชนิด รวมประมาณ 6 ล้านเมล็ด ได้รับการสนับสนุนเฮลิคอปเตอร์จากกองทัพบก "และถึงแม้ว่า กว่าต้นไม้จะเติบโต ต้องใช้เวลาอีก 5 ปี หรือ 10 ปี แต่ก็ต้องเริ่มทำ"
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี