สภาองค์กรของผู้บริโภค จัดเวทีแลกเปลี่ยนความเห็น จากทั้งนักวิชาการ ตัวแทนพรรคการเมือง และเครือข่ายผู้บริโภค เพื่อหาทางออกร่วมกันในการจัดการขนส่งมวลชนสาธารณะที่ผู้บริโภคได้ประโยชน์มากที่สุด หลังมีเสียงสะท้อนว่า ขนส่งมวลชนสาธารณะ ทั้งรถไฟฟ้า รถเมล์ และเรือ ยังมีปัญหาการเชื่อมต่อ ขณะที่เรื่องของค่าโดยสารก็ยังมีราคาสูง
การเข้าถึงรถไฟฟ้ายังเป็นประเด็นที่ผู้บริโภคตั้งคำถามว่า เป็นขนส่งมวลชนสาธารณะที่เข้าถึงได้ในราคาที่เป็นธรรมหรือไม่
นายอธิภู จิตรานุเคราะห์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง กล่าวถึง อนาคตและทิศทางการพัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล โดยระบุว่า ประเทศไทยมีรถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการแล้วทั้งสิ้น 12 เส้นทาง รวมระยะทาง 242.34 กิโลเมตร และในปี 2567 – 2572 ยังมีแผนที่จะสร้างรถไฟฟ้าเพิ่มอีก 11 เส้นทาง รวมทั้งหมดเป็น 23 เส้นทาง
การสร้างรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานคร แบ่งตามเป้าหมายการใช้งานได้ 3 ประเภท คือ 1.รถไฟฟ้าที่พาคนที่อาศัยอยู่รอบนอกเมืองหรือเขตปริมณฑลเข้าสู่ใจกลางกรุงเทพฯ เช่นรถไฟฟ้าสายสีแดง สีส้ม สีชมพู 2.รถไฟฟ้าสายหลักที่วิ่งใจกลางเมือง ได้แก่ สายสีเขียว และ 3.รถไฟฟ้าที่วิ่งเป็นวงกลม ทำหน้าที่รวมและกระจายปริมาณผู้โดยสารของทุกสาย ได้แก่ สายสีน้ำเงิน
ทั้งนี้ การวางแผนและสร้างระบบรางในเขตกรุงเทพฯ มีเป้าหมายหลัก ๆ 5 ประการ ได้แก่ 1.ลดความแออัดของการเดินทางในระบบราง 2.เพิ่มระบบขนส่งทางรางให้มีความครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล 3.เพิ่มการเชื่อมโยงของระบบรางทำให้เดินทางได้รวดเร็วขึ้น ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายการเดินทางบ่อย 4.ปรับปรุงโครงสร้างค่าโดยสารให้เหมาะสมและเป็นธรรมมากขึ้น และ 5.เชื่อมต่อกับการขนส่งรูปแบบอื่นอย่างมีประสิทธิภาพ
“อย่างไรก็ตาม ยังมีปัญหาราคาค่าโดยสาร และ การเชื่อมต่อกันได้โดยไม่มีค่าแรกเข้า ทำให้ค่าโดยสารราคาสูงจนเข้าถึงไม่ได้ ดังนั้น การปรับวิธีการคำนวณค่าโดยสารเป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยคุมราคาให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เพื่อให้รถไฟฟ้าเป็นระบบขนส่งมวลชนที่ทุกคนขึ้นได้ทุกวัน จึงต้องผลักดันให้เกิดระบบตั๋วร่วม – ค่าโดยสารร่วม และพัฒนาระบบขนส่งมวลชนอื่น ๆ เช่น รถเมล์ เรือ ควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้พัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะในกรุงเทพฯ ได้อย่างแท้จริง” รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง กล่าว
ในประเด็นนี้ วิลัยวรรณ ประทุมวงศ์ นักวิชาการจาก Can Do Team กล่าวว่า ปัจจุบันมีคนจำนวนมากที่ไม่เลือกใช้บริการรถไฟฟ้าเนื่องจากไม่สะดวก ต้องเดินไกล ยังไม่รวมถึงเรื่องทางเดินเท้าที่ไม่เอื้ออำนวย ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเข้าใช้บริการโดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้พิการ จึงมองว่าควรพัฒนาระบบขนส่งมวลชนอื่น ๆ ด้วย
ขณะที่ต้องพัฒนาทั้งรถเมล์ เรือ ทางเดินเท้า ให้มีมาตรฐาน ความปลอดภัย ความสะอาด ซึ่งจะทำให้คนส่วนใหญ่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และพัฒนาระบบรางในปริมาณที่พอเหมาะ
นอกจากนี้ วิลัยวรรณ เห็นว่าการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนจะต้องมองทั้งระบบ โดยที่ผ่านมาเคยทำงานวิจัยเรื่องการพัฒนาคลอง ทำให้รู้ว่าคลองในกรุงเทพฯ มีมากกว่า 1,600 คลอง แต่หลัก ๆ ใช้เพื่อการระบายน้ำเท่านั้น มีเพียง 2 คลองที่ใช้เป็นเส้นทางในการสัญจร ทำให้ไม่สามารถใช้คลองได้อย่างเต็มศักยภาพ และแทบจะไม่เคยเห็นการพัฒนาระบบขนส่งทางเรือเลย ทั้งนี้ มองว่า หากใช้คลองเป็นเส้นทางในการสัญจรก็มีหลายจุดที่สามารถเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าหรือระบบขนส่งมวลชนอื่น ๆ ได้ด้วย
ส่วน รถเมล์ก็ต้องพัฒนาให้เป็นขนส่งมวลชนสาธารณะที่มีคุณภาพด้วยเช่นกันโดยประเด็นนี้ นฤมล เมฆบริสุทธิ์ รองผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ระบุว่า ต้องยอมรับว่ารถเมล์อาจจะเข้าถึงเขตชุมชนได้อย่างไม่ทั่วถึง เนื่องจากปัจจุบันถนนแคบลงเรื่อย ๆ มีถนนหลักเพียงไม่กี่เส้นที่สามารถทำระบบขนส่งสาธารณะอย่างรถเมล์ได้
สำหรับในพื้นที่ชุมชนต้องพึ่งพาระบบขนส่งมวลชนที่ขนาดเล็กลงกว่ารถเมล์ จึงมองว่า ต้องมีการสำรวจที่เป็นรูปธรรมว่าพื้นที่แบบไหนต้องการระบบขนส่งมวลชนในลักษณะใด เพราะตอนนี้มีการสร้างรถไฟฟ้าที่ ไม่เชื่อมโยงกัน
“อยากเสนอให้หน่วยงานที่รับผิดชอบวิเคราะห์ข้อมูลระบบขนส่งมวลชนในภาพรวม นอกจากนี้ หากเน้นไปที่ระบบขนส่งมวลชนทางรางก็ต้องไม่ลืมที่จะพัฒนารถไฟปกติด้วย เพราะยังเป็นขนส่งมวลชนสำคัญที่มีผู้ใช้บริการอยู่เป็นจำนวนมาก” นฤมล กล่าว
ดร.สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ รองเลขาธิการและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ยืนยันว่า หากจะแก้ไขปัญหาระบบขนส่งมวลชนต้องพัฒนาไปพร้อมกันทั้งระบบ อีกทั้งต้องมีการประมาณการณ์ผู้โดยสาร เพื่อวางแผนว่าพื้นที่ใดควรจะเป็นระบบราง และเส้นทางไหนควรจะเป็นรถเมล์ เรือ หรือขนส่งมวลชนอื่นๆ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจด้วย การสร้างรถไฟฟ้า 1 สาย ใช้งบประมาณ 100,000 ล้านบาท ซึ่งเทียบเท่ากับการซื้อรถเมล์ 10,000 คัน ที่ผ่านมาเราลงทุนในระบบรถไฟฟ้าไปแล้วประมาณ 1 ล้านล้านบาท
ฉะนั้น จึงมองว่า ก่อนตัดสินใจสร้างรถไฟฟ้าต้องประเมินว่าสายไหนคุ้มทุน ส่วนสายที่สร้างแล้วไม่คุ้มควรนำเงินไปลงทุนเพิ่มรถเมล์ เพื่อให้เข้าถึงประชาชนในหลายพื้นที่โดยใช้งบประมาณน้อยกว่า
“สิ่งสำคัญที่เราต้องคำนึงถึงคือประเทศไทยไม่ได้มีแค่กรุงเทพฯ และงบประมาณต้องเอามาจ่ายก็มาจากแค่ 2 กระเป๋า หนึ่งคือกระเป๋ารัฐซึ่งมาจากภาษีของประชาชน สองคือผู้ใช้เป็นผู้จ่าย แต่หากเราจะให้รัฐอุดหนุนอย่างเดียวเพื่อให้ราคาถูก ก็แปลว่าชาวนา ตาสีตาสา ที่อยู่ในต่างจังหวัดต้องมาช่วยคนกรุงเทพฯ จ่ายด้วย เพราะฉะนั้น ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด จะบริหารจัดการยังไงให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน” ดร.สุรเชษฐ์ กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี