"เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์" สมาชิกวุฒิสภาไทย ชุดที่ 12 เป็นกวีรางวัลซีไรต์ เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ประจำปี พ.ศ.2536 ได้เขียนบทความใน มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25-31 มีนาคม 2565 ถึงกาพย์สุรางคนางค์ (๒๘) บทที่ได้มาจากปักษ์ใต้ บอกว่าไม่ทราบใครแต่ง เหมือนจะเป็นของเก่า ชื่อบท “เชิญดอกไม้”
พระเท้าเปล่า ขอคัดบทความบางส่วนของท่านเนาวรัตน์ มาเสนอดังนี้
"เจ้าดวงมาลา
ไปวัดด้วยข้า ไปทำบุญด้วยกัน
เด็ดเจ้าวันนี้ จะไปสู่สวรรค์
ไปทำบุญด้วยกัน เถิดเจ้าดวงมาลาฯ"
โดย ท่านเนาวรัตน์ เห็นว่า งามทั้งชื่อ งามทั้งคำร้อยกรอง และกวีโวหาร ที่งามยิ่งคือ เนื้อหากินใจนัก
โดยอธิบายว่า สุรางคนางค์ เป็นชื่อกาพย์หนึ่งในสามกาพย์ มี ยานี (๑๑) ฉบัง (๑๖) และสุรางคนางค์ (๒๘) เลขในวงเล็บคือจำนวนคำแต่ละบทของกาพย์นั้นๆ เช่น สุรางคนางค์มี ๒๘ คำ คือมี เจ็ดวรรค วรรคละสี่คำ โดยอนุโลมหมายถึงอาจมีเสียงเกินสี่คำบางวรรคได้ แต่ไม่ทำให้เสียจังหวะในสุรางคนางค์ คือจังหวะสี่
ตัวอย่างคำเกินในบท “เชิญดอกไม้” นี้คือ วรรคที่ว่า “ไปทำบุญด้วยกัน” มีห้าคำ ต้องอ่านรวบคำ “ทำบุญ” เป็นจังหวะเดียวกัน ก็จะไม่เสียจังหวะสี่คือ “ไป-ทำบุญ-ด้วย-กัน”
ข้อสังเกตกาพย์สุรางคนางค์ทางใต้นั้นมักนิยมสัมผัสซ้ำวรรค เฉพาะวรรคสามกับวรรคหก อย่างบทเชิญดอกไม้นี้ซ้ำวรรค “ไปทำบุญด้วยกัน” นั้น บทเชิญดอกไม้ เฉพาะกาพย์สุรางคนางค์นั้นดูจะเป็นที่นิยมของชาวใต้กันมาก เหมาะเป็นเพลงชาน้อง คือเพลงกล่อมเด็กของชาวบ้านเป็นพื้น
ที่ว่างามทั้งคำร้อยกรอง เช่น ขึ้นต้นว่า “เจ้าดวงมาลา” แค่นี้ก็งามด้วยคำไพเราะ ทั้งสำเนียงเสียงคำ และจังหวะจะโคนที่ให้ลีลาของถ้อยคำแล้ว ยังงามด้วยกวีโวหาร คือถ้อยคำที่ให้ภาพทั้งความงาม ความสำคัญของดอกไม้เป็นยิ่งนัก ด้วยเรียกดอกไม้เป็น “ดอกดวง” มาลา คือดอกไม้ ดวงมาลา ก็คือการเน้นให้เห็นความงามสดใสกระจ่างของดอกไม้มากยิ่งขึ้น
ยิ่งคำ “เจ้า” มาเรียกนำด้วย ยิ่งเห็นดอกไม้มีชีวิตเหมือนคนด้วยกัน นับเป็นการยกย่องให้เกียรติยิ่ง
“เจ้าดวงมาลา ไปวัดด้วยข้า ไปทำบุญด้วยกัน” นี่เป็นคำเชิญ คำชวน ที่ไม่ธรรมดาเลย คือชวนไปวัด ไปทำบุญ ซึ่งนี่คือการขยายความที่เห็นดอกไม้เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนคนด้วยกัน และนี่คือความงามของเนื้อหาที่ “กินใจ” นัก
“เด็ดเจ้าวันนี้ จะไปสู่สวรรค์” ไม่ใช่การพลัดพรากจากชีวิต หากคือการนำชีวิตไปสู่ความสูงส่ง ที่สรรพชีวิตพึงบรรลุถึง หรือพึงมีพึงเป็น นี่คือ “ปรารถนาดี” เยี่ยงสาธุชน ที่มีต่อสรรพสิ่ง ซึ่งสวยงามแวดล้อมพร้อมบันดาลโลกนี้ให้เป็นโลกที่ดีงาม และเป็นสิ่งที่โลกเรายังขาดอยู่ แม้จนวันนี้ จบลงด้วยคำอ้อนวอนเชิญชวนว่า “ไปทำบุญด้วยกัน เถิดเจ้าดวงมาลา” นี่แหละ กินใจนักคำว่า “เถิด” นี่เอง
ว่ากันว่า กวีบทนี้ คนเก่าคนแก่จะเอ่ยในใจก่อนเด็ดดอกไม้ไหว้พระ คำคล้องจองนั้นคือ คำกลอน เป็นคำสัมผัสคำ คำคล้องใจนั้นคือ คำกวี เป็นคำสัมผัสใจ เพราะฉะนั้น บทกวีที่ดีจึงต้องมีลักษณะ “คล้องจอง-คล้องใจ” เฉกเช่นบท “เชิญดอกไม้” นี้เป็นตัวอย่าง
ใจคนนั้นมีธรรมชาติอยู่สามอย่าง คือ รู้สึก นึก คิด
รู้สึก เป็น ปัจจุบัน
นึก เป็น อดีต
คิด เป็น อนาคต
สามอย่างนี้เป็นองค์รวมของปัญญา
บทกวีที่ดี ที่ว่า “กินใจ” จึงให้ปัญญาทั้งแก่ผู้เขียนและผู้อ่านได้อย่างเป็นองค์รวม ดังบทเชิญดอกไม้ ความไพเราะของคำนำมาซึ่งความรู้สึก ภาพความงามของดอกไม้นำมาซึ่งความนึกหรือจินตนาการ และการชวนให้คิดถึงภาพความสูงส่งของศรัทธามนุษย์อันพึงมีพึงเป็นนั้นนำมาซึ่งความคิด องค์รวมของปัญญาจึงรวมอยู่ในกวี “เชิญดอกไม้” บทเดียวนี้เอง
ผู้เขียนชื่อ "หนุ่มลูกทุ่ง" เล่าไว้เมื่อ 19 ก.ค. 2556 ใน MGR Online ว่า การตักบาตรดอกไม้ มีตำนานว่า ย้อนไปในพุทธกาล พระเจ้าพิมพิสารกษัตริย์แห่งกรุงราชคฤห์ ทรงโปรดปรานดอกมะลิมาก ในแต่ละวันจะรับสั่งให้นายสุมนมาลาการ นำดอกมะลิสดมาถวายวันละ 8 ทะนาน แต่เช้าตรู่ทุกวัน เพื่อแลกกับทรัพย์วันละ 8 กหาปณะ
อยู่มาวันหนึ่ง นายสุมนมาลาการ กลับนำดอกไม้ที่จะต้องให้พระเจ้าพิมพิสารไปถวายพระพุทธเจ้าด้วยความเลื่อมใสศรัทธา และตั้งจิตอธิษฐานว่า ข้าวของทุกสิ่งที่พระเจ้าพิมพิสารทรงมอบให้เพียงเพื่อยังชีพในภพนี้เท่านั้น แต่การนำดอกไม้ถวายบูชาแก่พระพุทธองค์ สร้างอานิสงส์ได้ทั้งภพนี้และภพหน้า หากถูกประหารชีวิตเพราะไม่ได้ถวายดอกมะลิก็ยอม
เมื่อพระเจ้าพิมพิสารทรงทราบ พระองค์มิทรงกริ้ว แต่กลับตรัสยกย่องสรรเสริญนายสุมนมาลาการ ว่าเป็นมหาบุรุษ พร้อมทั้งพระราชทานทรัพย์สิ่งของให้มากมาย และนับแต่นั้นมานายมาลาการ ก็อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขปราศจากทุกข์ทั้งปวง ด้วยอานิสงส์ของการนำดอกมะลิบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อเกิดเป็นความเชื่อสืบต่อมาจนเกิด "ประเพณีตักบาตรดอกไม้" ขึ้นจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
หากพูดถึงวัดที่เป็นต้นแบบการตักบาตรดอกไม้ก็คือ “วัดพระพุทธบาท สระบุรี” ที่พุทธศาสนิกชนจะใช้ “ดอกเข้าพรรษา” มาถวายพระ ดอกเข้าพรรษานี้มีลักษณะคล้ายกับต้นกระชายหรือขมิ้น ดอกสีเหลือง สีขาว และสีน้ำเงินม่วง (นิยมใช้สีเหลืองถวายพระ)
ต้นดอกไม้เข้าพรรษานี้จะขึ้นตามไหล่เขาโพธิ์ลังกา หรือเขาสุวรรณบรรพต เทือกเขาวง และเขาพุใกล้ ๆ กับรอยพระพุทธบาท และจะผลิดอกเฉพาะช่วงเข้าพรรษาเท่านั้น จนชาวบ้านเรียกกันว่า "ต้นเข้าพรรษา”
ในกรุงเทพฯ ก็มีการจัดกิจกรรมตักบาตรดอกไม้ในวันเข้าพรรษาเช่นกัน โดยวัดที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีก็คือ “วัดบวรนิเวศ” “วัดราชประดิษฐ์” “วัดราชบพิธ” “วัดเทพศิรินทร์” และ “วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก”
สวนมากในกรุงเทพฯ จะใช้ดอกไม้ที่หลากหลายมาใส่บาตร ไม่ว่าจะเป็นดอกบัว ดอกกุหลาบ ดอกกล้วยไม้ ดอกพุทธรักษา ดอกมะลิ ดอกเบญจมาศ เป็นต้น แล้วแต่ความสะดวกและศรัทธา ซึ่งแต่ละคนก็จะพยายามทำดอกไม้ของตนให้งามที่สุด บ้างก็นำดอกบัวมาบรรจงพับกลีบให้สวยงาม บ้างก็นำดอกมะลิมาร้อยเป็นพวงมาลัย บ้างก็นำดอกกุหลาบมาเด็ดหนาม หรือจัดรวมช่อให้สวยงาม
ดอกไม้สวยๆ ที่นำมาถวายพระ
ส่วนการตักบาตรดอกไม้ก็คล้ายการตักบาตรตามปกติ เพียงแต่เปลี่ยนจากภัตตาหารต่างๆ มาเป็นดอกไม้ โดยญาติโยมและพุทธศาสนิกชนจะมารอจับจองพื้นที่เตรียมใส่บาตรกันก่อนเวลา บ้างก็เตรียมเสื่อผืนเล็กๆ มาปูนั่งรอ และเมื่อได้เวลาพระสงฆ์จะเดินเรียงแถวออกมารับบาตรบริเวณรอบพระอุโบสถหรือพระวิหารของแต่ละวัด เมื่อรับบาตรดอกไม้จากญาติโยมเสร็จเรียบร้อยก็จะเข้าไปสวดมนต์ทำวัตรกันต่อไป
ดอกเข้าพรรษาเป็นพืชวงศ์เดียวกับขิง (Zingiberaceae) ลักษณะจึงคล้าย ขิง กระชาย หรือขมิ้น ที่มีลำต้นใต้ดินเป็นเหง้า ลำต้นเหนือดินเป็นกาบใบรวมกัน ใบเดี่ยว รูปรี ปลายใบแหลมเรียว เจริญเติบโตเป็นกลุ่มกอ ดอกออกเป็นช่อ มีกลีบประดับขนาดใหญ่ กลีบประดับนี้มีสีสันสวยงาม เช่น สีขาว สีม่วง สีแดง สีชมพู และเหลือง ดอกจริงจะมีขนาดเล็ก สีเหลือง ส้ม หรือขาว ลักษณะคล้ายนกหรือหงส์ที่กำลังเต้นรำ จึงเป็นอีกหนึ่งที่มาของชื่อ “หงส์เหิน”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี