สภาผู้บริโภคเผย 3 ชุมชนได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างคอนโดสูงในซอยแคบ พบถนนสาธารณะกว้างไม่ถึง 6 เมตรส่อผิดกฎหมาย เตรียมส่งข้อมูลให้ กทม. พิจารณายกเลิกใบอนุญาต พร้อมประกาศให้ชุมชนที่รับผลกระทบเข้าร้องเรียน หวังแก้ไขผังเมืองให้รองรับการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพของทุกคน
หลังจากเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2566 สภาผู้บริโภค ได้นำสื่อมวลชนพร้อมตัวแทน 3 ชุมชนที่ร้องเรียนเรื่องได้รับผลกระทบจากการสร้างคอนโดสูงในพื้นที่แคบ ลงพื้นที่สำรวจเพื่อรังวัดถนนว่ามีขนาด 6 เมตรตามกฎหมายหรือไม่ โดยมี ตัวแทนจากสำนักควบคุมอาคาร สำนักงานโยธากรุงเทพมหานคร เข้ามาร่วมสำรวจและรังวัดถนนไปพร้อมกันนั้น
นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า หลังจากรังวัดพื้นผิวถนนสาธารณะที่สามารถใช้สัญจรได้จริงตามวิถีชีวิตของคนในชุมชน พบว่า ทั้ง 3 ชุมชนที่ประกอบด้วยชุมชนโครงการเอส-ประดิพัทธ์ (ประดิพัทธ์ ซอย 23) โครงการเอส-รัชดา (รัชดา ซอย 44) และโครงการเดอะมูฟ (พหลโยธิน 37)มีระยะห่างของถนนจากการวัดพื้นผิวถนนหลายจุดไม่ถึง 6 เมตร ส่อผิดข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2544 รวมไปถึงข้อเท็จจริงในการละเมิดสิทธิความเป็นอยู่ชุมชนเดิม
ทั้งนี้ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร 2544 ระบุขนาดความกว้างของถนนสาธารณะ ในการก่อสร้างอาคาร เอาไว้ดังนี้ อาคารขนาดใหญ่ขนาดไม่เกิน 9,999 ตารางเมตร ความกว้างถนนสาธารณะต้องมีตั้งแต่ 6-10 เมตร ซึ่งทั้ง 3 โครงการเข้าข่ายผิดข้อบัญญัติดังกล่าว
ดังนั้น สภาผู้บริโภคจะรวบรวมข้อมูลทั้ง 3 ชุมชนเพื่อเสนอต่อกรุงเทพมหานคร ให้พิจารณายกเลิกใบอนุญาตในสัปดาห์หน้า หวังว่า กรุงเทพมหานครจะทบทวนใบอนุญาตหรือทบทวนการให้ผ่านใบอนุญาตชั่วคราวตาม มาตรา 39 ทวิ ที่สามารถให้มีการก่อสร้างก่อนแล้วอนุญาตทีหลัง และยังจะส่งข้อมูลไปให้กับคณะกรรมการผู้ชำนาญพิจารณาการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (คชก.) พิจารณาทบทวนโครงการก่อสร้างต่อไปด้วย
สารี อ๋องสมหวัง
นอกจากนี้ สภาผู้บริโภค ขอประกาศให้ชาวบ้านในพื้นที่ หรือชุมชนที่มีการก่อสร้างคอนโดสูงในซอยแคบที่ได้รับความเดือดร้อนจากโครงการติดต่อมาที่สภาผู้บริโภคในทุกช่องทางเพื่อรับเรื่องร้องเรียนแก้ไขปัญหา โดยขณะนี้สภาผู้บริโภคมีผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมจะทำงานในเรื่องนี้อย่างเป็นระบบ โดยหวังว่าจะเดินหน้าผลักดันเรื่องผังเมืองซึ่งควรจะเป็นมิตรกับผู้คนที่อยู่อาศัยดั้งเดิม รองรับทุกคนที่จะมีชีวิตอยู่ในกรุงเทพมหานครได้
นายสุรัช ติระกุล ผู้อำนวยการสำนักควบคุมอาคาร สำนักงานโยธากรุงเทพมหานคร กล่าวว่า การรังวัดถนนตามข้อบัญญัติ กทม. จะมีวิธีวัดจากกำแพงชนกำแพงอีกฝั่งหนึ่ง ไม่ได้รังวัดตามผิวถนนจราจร อย่างไรก็ตาม การลงพื้นที่ทำให้พบปัญหาข้อเท็จจริงในพื้นที่ ซึ่งหลังจากนี้จะรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงไปพิจารณาต่อไปถึงปัญหาของชุมชนในพื้นที่ดั้งเดิมถูกกระทบอย่างไร นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครอยู่ระหว่างการพิจารณาจะรื้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสร้างอาคาร ที่ให้ความสำคัญกับกับประชาชนเป็นหลัก รวมไปถึงการก่อสร้างอาคารสูงในพื้นที่แคบอาจจะต้องพิจารณาในเรื่องของวิธีการรังวัดถนนที่สอดคล้องกับความเดือดร้อน หรือการใช้จริงของในพื้นที่
“หากวิธีการวัดความกว้างถนน ตามหลักการวัดของ กทม. จะวัดจากรั้วถึงรั้วเป็นหลัก การวัดเสาไฟฟ้าถึงรั้วจะไม่นับเพราะเสาไฟฟ้าถือว่าเป็นเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งไม่ถูกหลักการวัดของ กทม. แต่อย่างไรก็ตามในอนาคต กทม. กำลังพิจารณาจะทบทวนกฎหมายเหล่านี้รวมถึงวิธีการรังวัดถนนให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง โดยจะเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อนออกมาบังคับใช้” สุรัช กล่าว
สำหรับข้อมูลการสำรวจชุมชนของซอยประดิพัทธ์ 23 พบปัญหาการสัญจรติดขัด เพราะภายในซอยมีตลาด ที่มีการสัญจรเพื่อขนส่งสินค้าและซื้อของในตลาดทำให้การสัญจรทำได้ไม่สะดวก รวมไปถึงการจอดรถในซอยที่ไม่มีการกำกับดูแลให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ทำให้ต้องมีการเบี่ยงเส้นทางการจราจรเมื่อมีรถสวนทางกันอีกทั้งเป็นซอยที่เข้า-ออกได้ทางเดียวไม่สามารถทะลุไปออกถนนหลักอีกเส้นได้
นายทิววัฒน์ ภัทรกุลวณิชย์ ตัวแทนผู้เสียหายจากโครงการเอส-ประดิพัทธ์ ได้ให้ความเห็นในประเด็นความกว้างของพื้นผิวจราจรที่ต้องเกิน 6 เมตร ที่กฎหมายเขียนไว้เพื่อป้องกันเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินว่า หากมีคอนโดสร้างขึ้น 219 ยูนิต กับที่จอดรถ 68 คัน เมื่อที่จอดรถไม่เพียงพอ รถคันที่เหลือต้องออกมาจอดข้างนอกตามซอย จึงมีความกังวลเรื่องความปลอดภัย เช่น กรณีเกิดเหตุอัคคีภัยและความแออัดของชุมชน ที่จะทำให้รถดับเพลิงและรถพยาบาลเข้าช่วยเหลือได้ไม่ทันเวลา อีกทั้งยังมีประเด็นของ ฝุ่น PM2.5 จากการก่อสร้างโครงการ ที่อาจส่งผลกระทบให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนได้รับความเดือดร้อนจากฝุ่นควัน มลภาวะจากการก่อสร้างอาคาร ที่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ในระยะยาว
สุรัช ติระกุล
ปัญหาของซอยพหลโยธิน 37 เป็นซอยที่มีการเข้า-ออกทางเดียว และเป็นซอยแคบ ไม่มีฟุตปาธ มีคอนโดอยู่ตรงข้ามโครงการอยู่แล้ว 1 หลัง โดยชุมชนเป็นลักษณะชุมชนเก่าแก่ มีผู้สูงอายุอาศัยอยู่จำนวนมาก อีกทั้งในซอยยังมีโรงเรียนอนุบาลที่มีนักเรียนอยู่ถึง 1,700 คน บุคลากรครูอีกกว่า 100 คน โดยในช่วงที่นักเรียนเดินทางมาเข้าเรียน และช่วงที่นักเรียนเลิกเรียน ปริมาณรถเข้า-ออกมีความหนาแน่นมาก
นายธีระ อัชกุล ตัวแทนผู้เสียหายจากโครงการเดอะมูฟ พหลโยธิน 37 กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้ทำจดหมายถึงทางการ ร้องเรียนเรื่องการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA เพราะคนในชุมชนไม่มีความรู้ ส่วนการให้ข้อมูลของบริษัทเข้ามาทำค่อนข้างรวบรัดและไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ไม่มีความโปร่งใส จึงเขียนจดหมายเพื่อร้องเรียน แต่ได้รับการตอบกลับว่าไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงานจึงขอฝากถึง คชก.ว่าเหตุใดหน่วยงานจึงไม่ลงมาตรวจสอบข้อเท็จจริงแต่กลับปล่อยให้คนในชุมชนต้องต่อสู้กับบริษัทที่มาทำ EIA เพียงลำพัง โดยไม่มีข้อมูลหรือความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมเลย และฝากไปถึงผู้ที่มีอำนาจให้ลงมาตรวจสอบและดูแลประชาชนในพื้นที่ด้วย
นอกจากนี้ ชาวบ้านในชุมชนยังให้ข้อมูลว่า การทำประชาพิจารณ์ของโครงการ เป็นการทำโดยให้คนนอกพื้นที่ หรือคนที่ไม่ได้อยู่ในซอยเป็นผู้ตอบแบบสอบถาม ทำให้ขาดการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนที่ได้รับผลกระทบอย่างแท้จริง จึงเป็นข้อสังเกตว่าการกระทำดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ โดยวันนี้ที่ยังไม่มีการสร้างคอนโด การสัญจรของในซอยค่อนข้างมีปัญหาในช่วงเช้าและเย็น และนักเรียนบางส่วนที่ต้องเดินเท้าออกไปยังหน้าซอยมีความยากลำบากเพราะไม่มีทางเท้าให้เดิน ต้องเดินสวนรถเข้า-ออก และการสร้างอาคารที่พักอาศัยขนาดใหญ่จะก่อให้เกิดผลกระทบตามมาทั้งในเรื่องของการสัญจรและมลภาวะ
นอกจากนี้ ยังมีเสียงสะท้อนจากคุณยายรายหนึ่งซึ่งเป็นผู้สูงอายุในชุมชน ที่ได้ฝากคำถามไปยังหน่วยที่เกี่ยวข้อง ว่าเหตุใดก่อนอนุมัติโครงการ ทางหน่วยงานจึงไม่ลงมาสำรวจว่าจะกระทบต่อการอยู่อาศัยของคนในชุมชนหรือไม่ และแม้ว่าคุณยายจะมีอายุมากแล้ว แต่ก็ไม่นิ่งเฉยต่อการปกป้องสิทธิ์ของตน โดยได้ยื่นเรื่องร้องเรียนไปยังบริษัทเพื่อคัดค้านการก่อสร้าง แต่ก็ยังไม่มีการติดต่อกลับจากแต่อย่างใด
“อยากให้ดูจากกรณีตัวอย่างของแอสตัน อโศก ที่ก่อสร้างเสร็จแล้วมีปัญหาตามมาต้องมาหาทางแก้ทีหลังก็ได้สร้างผลกระทบให้ทั้งกับคนในชุมชนและลูกบ้าน ซึ่งเราควรแก้ไขที่ต้นเหตุไม่ใช่ปลายเหตุ จึงอยากฝากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องฉุกคิดในเรื่องนี้” คุณยาย กล่าว
จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าใครก็สามารถออกมาสู้เพื่อสิทธิ์ของตนเองได้ หากเห็นว่ากำลังถูกละเมิดสิทธิ์ควรออกมาปกป้องสิทธิ์ของตัวท่านเอง อย่าปล่อยให้ถูกละเมิดจนเกิดความเคยชินจนต้องจำยอมต่อปัญหานั้น
ส่วนปัญหาของรัชดาซอย 44 คือถนนโดยรอบมีลักษณะแคบทำให้การจราจรในเวลาเร่งด่วนหนาแน่น และยังมีศูนย์ดูแลผู้สูงอายุที่มีอาคารดูแลผู้สูงอายุอยู่ถึง 200 เตียง จึงมีความจำเป็นที่รถพยาบาลจะเข้า-ออกบ่อยครั้ง เพื่อนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล และเนื่องจากชุมชนนี้เป็นชุมชนเก่าแก่ บ้านส่วนใหญ่เป็นไม้ เพียงรถบรรทุกขับผ่านก็ได้รับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือน หากมีการก่อสร้างคอนโดขนาดใหญ่ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่จะได้รับผลกระทบระหว่างการก่อสร้าง
นายสมวงศ์ พงศ์สถาพร ตัวแทนผู้เสียหายจากโครงการเอส-รัชดา 44 เล่าว่า เมื่อปี 2563 มีบริษัทที่ปรึกษาสิ่งแวดล้อมของโครงการมาแจกเอกสารว่าจะมีการสร้างคอนโด 535 ยูนิต กับประชากร 1,400 คน ในพื้นที่ 2 ไร่เศษ ซึ่งค่อนข้างหนาแน่น คนในชุมชนจึงรวมตัวกันคัดค้านและทำประชาพิจารณ์โครงการ แต่ไม่ผ่านเพราะข้อมูลไม่ครบ ทั้งนี้ ตอนทำประชาพิจารณ์ครั้งแรกมีปัญหาเรื่องข้อมูลไม่ครบ ซึ่งหากทางชุมชนไม่ร้องขอทางโครงการก็ไม่ได้ให้ข้อมูลอะไร รวมถึงการประชุมที่รวบรัดและอ้างว่าเลือกทางที่ดีที่สุดให้คนในชุมชนแล้ว แต่เมื่อมาดูรายละเอียดจะพบว่ามีข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งหากคนในชุมชนไม่รวมตัวกัน ไม่ศึกษาข้อมูลเอง อาจกลายเป็นต้องยอมจำนนต่อการสร้างโครงการ
จากการลงพื้นที่ สภาผู้บริโภคพบว่า ลักษณะปัญหาของทั้ง 3 ชุมชนคือปัญหาซอยแคบ และมีความกว้างของถนนสาธารณะไม่ถึง 6 เมตร เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถอนุมัติโครงการพื้นที่รวมมากกว่า 2,000 ตร.ม. ได้ หวังว่า กรุงเทพมหานครจะเรียนรู้จากกรณีของแอชตัน และผู้ประกอบการควรปรับคอนโดให้มีขนาดเล็กลง มีพื้นที่ 2,000 ตารางเมตร ตามหลักกฎหมาย เพื่อจะได้ไม่กระทบกับประชาชนในพื้นที่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี