‘หมอธีระวัฒน์’เลคเชอร์ 10 ข้อ ‘สมองเสื่อม’เรื่องจริง ที่ต้องทราบ
26 ตุลาคม 2566 ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha” ดังนี้...
สมองเสื่อม เรื่องจริง..ที่ต้องทราบ
การพัฒนาและประยุกต์ใช้จากข้อมูลที่สะสมมานาน ในเรื่องของสมองเสื่อมแบบต่างๆรวมทั้ง อัลไซเมอร์ เริ่มตั้งแต่ในปี 2011 และเรื่อยมาจนกระทั่งมีการสรุปในปี 2017 และ 2018 จาก
NIA-AA หรือ national Institute of aging and Alzheimer’s Association และล่าสุด จากการประชุมที่ อัมสเตอร์ดัมในเดือนกรกฎาคม 2023 รวมทั้งจากรายงานจากสถาบันต่างๆ
NIA-AA และจากรายงานทางยารักษา สรุปสาระหลายประเด็น
ทั้งนี้ประกอบไปด้วย
1- การยึดถือแต่อาการอย่างเดียวไม่เพียงพอ ทั้งนี้เนื่องจากอาการที่เกิดขึ้นเป็นผลลัพธ์จากกระบวนการต่อเนื่องหลาย 10 ปีจนกระทั่งสมองเสียหาย
ทั้งนี้ การที่พบว่ามีสมองเสื่อมปะทุขึ้นแล้ว “โดยยังไม่มีอาการนั้น” ถือเป็นโอกาสทอง
2- ถ้าช้า รอวินิจฉัยเมื่อมีอาการไปแล้ว จะเสียประโยชน์ในการที่จะป้องกันชะลอและรักษาแต่เนิ่นๆ
3- ระบบการวินิจฉัยและการติดตามที่เรียกว่าระบบ
A amyloid T tau N neurodegeneration
สามารถนำมาใช้ได้แล้วในปัจจุบัน รวมกระทั่งถึงการตรวจหาความผิดปกติจากในเลือด โดยถือ เป็น stand alone โดยการตรวจเลือดทำในห้องปฏิบัติการที่เพียบพร้อมและควบคุมคุณภาพ ทั้งนี้ไม่ต้องตรวจอย่างอื่น
4- การวินิจฉัย อัลไซเมอร์ ใช้หลักฐาน A หรือ T ได้ และในกรณีที่ไม่พบ A หรือ T แต่มีการทำลายสมอง จาก N โดยการตรวจ neurofilament light chain NFL จากเลือด จะชี้บ่งถึงสมองเสื่อมแบบอื่นๆ ได้ และในขณะเดียวกันบอกความรุนแรงของ อัลไซเมอร์ได้ด้วย
5- การดู N นั้น มีประโยชน์ในการดูความเสียหายและความรุนแรงและต่อไปยังสามารถเพิ่ม ระบบชี้วัดการอักเสบเข้าอีกตัว คือ I = inflammation โดยการอักเสบนั้นจะเป็นตัวปะทุ ตั้งแต่ในร่างกายและเกี่ยวพันไปในถึงสมอง
6- ระบบในการวินิจฉัยที่มีความสำคัญมากอีก กลุ่มคือ “S”หรือ synuclein ที่จะสะท้อนให้เห็นถึงสมองเสื่อมในกลุ่มโรค พาร์กินสันและโรคสมองเสื่อมที่กระทบหลายระบบพร้อมกัน multisystem atrophy และ diffuse Lewy body และ สมองเสื่อมที่เกิดจากเส้นเลือดผิดปกติ “V” = vascular
7- A และ T นอกจากจะใช้ ในการวินิจฉัย อัลไซเมอร์ แล้วยังสามารถระบุ “disease staging” ตาม A และ T และมีการพัฒนาการตรวจวัด T Tau phosphosites ต่างๆซึ่งนอกจาก pTau 181 แล้ว ยังมี 217 231และและ 205 ซึ่งปรากฏตัวจากการตรวจเลือดตั้งแต่ในระยะแรกเริ่ม
ทั้งนี้โดยที่ p Tau 181 ในเลือดที่มีการตรวจ มาตรฐานในปัจจุบัน ได้รับการพิสูจน์และรายงานในวารสาร nature medicine 2023 ใน คนที่ไม่มีอาการ 1006 ราย ว่า สามารถวินิจฉัยได้แม่นยำเมื่อเปรียบเทียบกับ PET MRI
แต่ในปัจจุบันนี้จะต้องปรับเปลี่ยนเป็น 217 เพื่อให้สามารถวินิจฉัยได้เร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น
8- ทั้งหมดนี้เป็น มาตรฐานในการวินิจฉัยและดูแลสมองเสื่อมโดยเป็น “clinical” definition ไม่ใช่ เป็นการวิจัยหรือ research definition อีกต่อไป
9- จุดประสงค์สำคัญในการที่ต้องทราบว่าสมองเสื่อมปะทุแล้วแม้ยังไม่มีอาการก็คือสามารถที่จะชะลอจนกระทั่งหยุดยั้งได้ (แม้เริ่มมีอาการแล้วก็ตาม)
ได้แก่ การปรับอาหาร การออกกำลัง แสงแดด กิจกรรม สมองขยัน ในบ้านและนอกบ้าน ควบคุมโรคประจำตัวทั้งหมด หยุดยาเร่งสมองรวมทั้งยาที่ใช้ในการกระตุ้นสมองที่มีอยู่ในขณะนี้ ที่จะทำให้เกิดผลข้างเคียง ทางจิตอารมณ์หวาดระแวง และเร่งสมองเสื่อมไปอีก
10- ยาที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถที่จะยับยั้งการสร้างโปรตีนที่ผิดปกติรวมทั้งขจัดออกและสามารถที่จะลดการทำลายเนื้อสมองได้ และปรับสภาพสมองโดยใช้พลังงานในรูปแบบ autophagy โดยที่อยู่ในการศึกษาระยะที่สามในมนุษย์มีตั้งแต่
+ ยาละลายเสมหะ ambroxol
+ ยา นอนหลับ ต้าน Orexin
+ ยากิน กันการรวมกระจุกTau หรือ Tau aggregation (โดยที่ผลครึ่งแรกของระยะที่สามในมนุษย์ได้ผลชัดเจนว่า ลดการทำลายสมองได้ชัดเจนใน 12 เดือน)
+ ยาลดน้ำหนัก เช่น Ozempic
+ ยากิน ป้องกัน synucleine จาก ลำไส้ enteric neuron และในสมอง
+ ยาพ่น อินซูลินเข้าทางโพรงจมูก
และอื่นๆอีกมาก ที่มีหลักฐานทางคลินิกทางวิทยาศาสตร์พื้นฐาน รวมทั้ง กันชง CBD สารสกัด polyphenol flavonoids resveratrol เป็นต้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี