"วัดโคกพระยา บัลลังก์ อำนาจ และ ท่อนจันทน์" จาริกไปกับพระเท้าเปล่า โดย : พระชายกลาง อภิญาโณ
ย้อนหลังไปวันที่ 25 เมษายน 2559 ข้าพเจ้าเดินทางไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่เช้า เพื่อไปนั่งรำลึกถึง "พระนเรศวรมหาราช" พระมหากษัตริย์ผู้เกรียงไกร ที่พระบรมราชานุสาวรีย์ ทุ่งภูเขาทอง อุทยานประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา และมรดกโลก ในปัจจุบัน
วันนั้น บังเอิญข้าพเจ้าได้พบชายแต่งกายเหมือนหลุดเข้าไปในภาพยนตร์ย้อนยุค "ทวิภพ" เขามาคุกเข่ากราบข้าพเจ้า บอกว่า "เบื้องบนบอกให้มาคอยรับพระคุณเจ้า"
ข้าพเจ้าเกิดอกุศลจิตขึ้นทันใดว่า ไปท่องบทมาจากไหน หลอกคนปัญญาอ่อนมาแล้วเท่าไหร่ โดยไม่รอให้ข้าพเจ้าเอ่ยปาก เขาบอกต่อว่า "มีพระมาที่นี่บ่อย มาเดินดู มาถ่ายรูป กระผมไม่เคยเข้าไปกราบไปไหว้ไปสนทนา นิมนต์พระคุณเจ้าอธิษฐานจิตถวายเถิด เสร็จแล้วกระผมจะนำไปวัดโคกพระยา ที่นั่นมีผู้รอพระคุณเจ้าไปโปรด"
ข้าพเจ้าบอกเขาว่า “อาตมาเป็นพระธรรมดา มิได้มีบุญบารมีหรือภูมิธรรมพิเศษใดๆ”
เขาบอกว่า "ท่านเป็นพระธรรมดา แต่มีบางคนบางกลุ่มรออยู่ด้วยเคยเกี่ยวข้องข้ามภพข้ามชาติกันมา ขอแค่พระคุณเจ้าไปถึงที่นั่นก็พอ" แล้วเขาขับรถนำไปชี้ทางให้ข้าพเจ้า แล้วขับเลยไปไม่เหลียวหลัง
ข้าพเจ้าจึงไปตามที่เขาชี้ ถึงที่นี่ "วัดโคกพระยา"
เรื่องราวประวัติศาสตร์โบราณมิอาจชี้ชัดแน่ๆลงไปว่าอันไหนถูกหรือผิด ข้อมูลหลักฐานเมื่อถูกค้นพบใหม่ๆก็เปลี่ยนแปรไปได้เสมอ อย่างเช่น คนเผ่าไทยไม่ได้อพยพมาจากเขาอัลไต ซึ่งถูกปลูกฝังให้เชื่อกันมานาน
จำเพาะ "วัดโคกพระยา" ปัจจุบันตั้งอยู่ ตำบลลุมพลี อำเภอพระนครศรีอยุธยา ก็มีการศึกษาค้นคว้ากันมานาน เนื่องจากมีเรื่องราวเกี่ยวเนื่องกับสถาบันกษัตริย์ พระญาติ ต่างๆ และการช่วงชิงอำนาจกันแต่ละยุคสมัยของอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา ที่เป็นสถาน "ปลงพระศพ" หรือ "ประหารชีวิต" แล้วแต่จะเรียกศัพท์ตามฐานะว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ใด ชั้นยศสูงปานใด ข้าพเจ้าจึงขอคัดมาจากผู้รู้เพื่อเผยแพร่เป็นวิทยานต่อไป
"สถาบันไทยศึกษา จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย" ระบุว่า ตามโบราณราชประเพณีสมัยกรุงศรีอยุธยา "วัดโคกพระยา" เป็นสถานที่สำหรับนำพระมหากษัตริย์ซึ่งถูกถอดออกจากราชสมบัติและเจ้านายในพระราชวงศ์ไปกระทำการสำเร็จโทษ โดยพระมหากษัตริย์ที่ถูกถอดราชสมบัติส่วนใหญ่เกิดจาก "เหตุรัฐประหารผลัดแผ่นดิน"
หรือในกรณีของการสำเร็จโทษเจ้านายก็เนื่องจากทำผิดกฎมณเฑียรบาลหรือกฎหมายอาญาของบ้านเมือง ซึ่งหากต้องโทษประหารจะถูกนำไปสำเร็จโทษในบริเวณวัดโคกพระยา ดังปรากฏความระบุไว้ในกฎมณเฑียรบาลซึ่งสันนิษฐานว่าตราขึ้นตั้งแต่สมัย "สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ"
ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับต่างๆ อาทิ ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ ฉบับพันจันทนุมาศ ฉบับพระราชหัตถเลขา เมื่อนำมาประมวลด้วยแล้ว ต่างก็ได้กล่าวถึงการสำเร็จโทษพระมหากษัตริย์และเจ้านายในสมัยอยุธยาบริเวณโคกพระยาหรือบางสำนวนเขียนเป็นวัดโคกพระยานับรวมแล้วมากกว่า 10 ครั้ง
โดยมีเหตุการณ์สำคัญจำนวนไม่น้อยที่นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยา ได้แก่ การสำเร็จโทษพระเจ้าทองลัน หรือ พระเจ้าทองจัน ซึ่งเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ขุนหลวงพะงั่ว โดยพระราเมศวรซึ่งเป็นพระราชโอรสสมเด็จพระรามาธิบดีอู่ทองเสด็จเข้ามาชิงราชสมบัติ แล้วนำพระเจ้าทองลันขณะมีพระชนมายุ 12-15 ชันษาไปสำเร็จโทษที่วัดโคกพระยา
การสำเร็จโทษพระยอดฟ้า พระราชโอรสของสมเด็จพระชัยราชาธิราช โดย ขุนวรวงศาธิราช และ ท้าวศรีสุดาจันท์ การสำเร็จโทษสมเด็จพระศรีเสาวภาค ซึ่งเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระเอกาทศรศ ก่อนการเสด็จขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าทรงธรรม การสำเร็จโทษพระพันปีศรีสินขณะเป็นพระอุปราชโดยสมเด็จพระเชษฐาธิรราช เนื่องจากมีการกระทำที่ส่อไปในทางกบฎ
การสำเร็จโทษเจ้าฟ้าไชยซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์โตของพระเจ้าปราสาททองจากเหตุการชิงราชสมบัติของสมเด็จพระศรีสุธรรมราชา ซึ่งต่อมาก็เกิดเหตุให้มีการสำเร็จโทษพระศรีสุธรรมราชา โดยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช รวมถึงเหตุการณ์การสำเร็จโทษเจ้าพระขวัญซึ่งเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระเพทราชาโดยสมเด็จพระเจ้าเสือ
"จากจดหมายเหตุของวันวลิต ชาวฮอลันดาที่เข้ามากรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองได้กล่าวถึงการนำเจ้านายไปสำเร็จโทษในสถานที่เรียกว่าวัดพระเมรุโคกพระยา"
โดยระบุตำแหน่งว่าอยู่ตรงข้ามกับพระราชวังหลวง ซึ่งในปัจจุบันอยู่บริเวณพื้นที่ใกล้กับวัดหน้าพระเมรุและวัดหัสดาวาส ซึ่งพื้นที่ทางเหนือของวัดหน้าพระเมรุเป็นทุ่งนากว้างเรียกว่า ทุ่งลุมพลี มีคลองสระบัวไหลผ่าน ใกล้ๆ กันมีเนินที่มีวัดร้างซึ่งชาวบ้านเรียกว่า วัดโคกพระยา สันนิษฐานว่าเป็นสถานที่เดียวกับกล่าวถึงในพระราชพงศาวดารและในจดหมายเหตุ ต่อมากรมศิลปากรจึงได้เข้าไปบูรณะซากวัดแห่งนี้
นอกจากนี้ ในบริเวณที่ห่างออกไป 2-3 กิโลเมตร มีพื้นที่ที่ชาวบ้านเรียกว่า โคกพระยา เหมือนกัน อยู่กลางทุ่งภูเขาทองใกล้กับพระเจดีย์ภูเขาทอง มีการอ้างอิงเหตุการณ์ที่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิไปยืนช้างทอดพระเนตรดูกำลังข้าศึกบนเนินโคกพระยาซึ่งในพงศาวดารระบุว่าอยู่ใกล้ทุ่งภูเขาทอง ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานว่าเป็นสถานที่ใช้สำเร็จโทษเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อวิเคราะห์เหตุผลต่างๆ แล้ว สถานที่สำเร็จโทษกษัตริย์และเจ้านายไม่น่าจะเป็นสถานที่อยู่ห่างไกลพระราชวังมากนัก ด้วยเหตุของปัญหาที่ว่าการนำกษัตริย์หรือเจ้านายไปสำเร็จโทษนั้น ต้องใช้ความระมัดระวังไม่ให้เกิดปัญหาการแย่งชิงตัวกษัตริย์หรือเจ้านายที่ต้องโทษ และเป็นเรื่องที่ต้องกระทำอย่างรวดเร็วเพื่อให้กษัตริย์พระองค์ใหม่สามารถปราบดาภิเษกขึ้นมาระงับเหตุได้ทันท่วงที และจัดการสร้างความชอบธรรมทางการเมืองต่อไป
ดังนั้น สถานที่สำเร็จโทษควรอยู่ใกล้พระราชวังที่เป็นศูนย์กลางการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งน่าจะเป็นวัดโคกพระยาบริเวณวัดหน้าพระเมรุดังเหตุผลที่กล่าวมา
อีกด้านหนึ่ง นิตยสาร"ศิลปวัฒนธรรม"ได้ย้ำว่า “วัดโคกพระยา” ซึ่งเป็นสถานที่สำเร็จโทษ “เจ้าพระองค์ดำ” พระราชโอรส สมเด็จพระเพทราชา ถูก “สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ” ผู้เป็นหลาน สั่งสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ เหตุเพราะทรงประพฤติตนโดยไม่เกรงกลัวพระราชอาญา
โดยศิลปวัฒนธรรม ได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับ “วัดโคกพระยา” เอาไว้ว่า วัดโคกพระยา ตั้งอยู่นอกเกาะเมืองศรีอยุธยา ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของวัดหน้าพระเมรุ สันนิษฐานว่า คาดว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้นหรือก่อนหน้านั้น เพราะปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาว่า ใน พ.ศ.1925 สมเด็จพระราเมศวร พระราชโอรสของสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง ซึ่งถูกส่งไปครองเมืองลพบุรี ได้เสด็จยกกองทัพมาทำรัฐประหาร ยึดอำนาจจากสมเด็จพระเจ้าทองลัน ซึ่งขึ้นครองราชย์ได้เพียง 7 วัน
เจดีย์ประธานและฐานพระอุโบสถวัดโคกพระยา วัดที่ วัน วลิต ระบุไว้ในจดหมายเหตุว่าเป็นสถานที่ที่ใช้สำเร็จโทษกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงในสมัยอยุธยา
เมื่อก่อการสำเร็จแล้ว ก็โปรดให้นำสมเด็จพระเจ้าทองลันไป “สำเร็จโทษ” ที่วัดโคกพระยา และนับเป็นกษัตริย์องค์แรกในประวัติศาสตร์ที่ถูกลงโทษด้วย “ท่อนจันทน์” ตามราชประเพณี
ผังบริเวณวัดโคกพระยา
ต่อมาเมื่อมีการประหารชีวิตพระเจ้าแผ่นดิน หรือเชื้อพระวงศ์ครั้งใด วัดโคกพระยาก็จะถูกระบุว่าเป็นสถานที่ที่ใช้สำเร็จโทษทุกครั้งไป
เท่าที่ปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา มีพระเจ้าแผ่นดินและเจ้านายเชื้อพระวงศ์ถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ตามราชประเพณี ที่วัดโคกพระยาแห่งนี้รวม 5 พระองค์ และยังมีเจ้านายอีก 6 พระองค์ ที่ถูกสำเร็จโทษมาจากที่อื่น แล้วนำพระศพมาฝังไว้ที่วัดนี้ ซึ่งความจริงน่าจะมีมากกว่านี้ เพราะการทำรัฐประหารผลัดแผ่นดินแต่ละครั้งย่อมหมายถึงชีวิตอีกหลายชีวิตของเจ้านายและเชื้อพระวงศ์ ที่ต้องพลอยรับเคราะห์กรรมถูกสำเร็จโทษไปด้วยในฐานะผู้แพ้
ปัจจุบันนักโบราณคดียังไม่พบร่องรอยหรือหลักฐาน ที่ชี้ชัดถึงจุดซึ่งเป็นที่ฝังพระศพของพระเจ้าแผ่นดินและเจ้านายที่เคราะห์ร้ายเหล่านั้น แต่หลักฐานจากจดหมายเหตุ วัน วลิต พ่อค้าชาวฮอลันดา ยืนยันไว้ชัดเจนว่า สถานที่ที่ใช้สำเร็จโทษตั้งอยู่นอกเกาะเมืองทางด้านทิศเหนือ ไม่ไกลจากพระราชวังหลวง ระหว่างวัดหน้าพระเมรุและวัดหัสดาวาส เยื้องไปทางด้านหลัง ซึ่งพิเคราะห์แล้วก็คือตำแหน่งที่ตั้งของวัดโคกพระยานั่นเอง
เล่ามาถึง พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ก็ได้กล่าวถึงวัดโคกพระยาไว้หลายช่วง โดยส่วนมากจะกล่าวถึงในฐานะที่ใช้เป็นสถานที่ที่ใช้ในการสำเร็จโทษพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เช่น
สมเด็จพระเจ้าทองลัน พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 4 แห่งกรุงศรีอยุธยา
พระรัษฎาธิราช พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 12 แห่งกรุงศรีอยุธยา
พระยอดฟ้า พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 14 แห่งกรุงศรีอยุธยา
พระศรีเสาวภาคย์ พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 20 แห่งกรุงศรีอยุธยา
พระพันปีศรีศิลป์ พระอนุชาในสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ถูกสำเร็จโทษโดยออกญากลาโหมสุริยวงศ์ หรือพระเจ้าปราสาททอง
สมเด็จพระเชษฐาธิราช พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 22 แห่งกรุงศรีอยุธยา
สมเด็จเจ้าฟ้าไชย พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 25 แห่งกรุงศรีอยุธยา
สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 26 แห่งกรุงศรีอยุธยา
เจ้าพระขวัญ พระราชโอรสในสมเด็จพระเพทราชาที่ประสูติแต่กรมหลวงโยธาทิพ
พระองค์เจ้าดำ พระราชโอรสในสมเด็จพระเพทราชา
เจ้าฟ้าอภัยและเจ้าฟ้าปรเมศร์ พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ
พระองค์เจ้าชื่นและพระองค์เจ้าเกิด พระราชบุตรในกรมพระราชวังบวรเสนาพิทักษ์
กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ และกรมหมื่นเสพภักดี (เจ้าสามกรม) พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
ดังที่กล่าวข้างต้นว่านี่คือประวัติศาสตร์ที่คัดมาให้อ่าน แล้วมาพูดถึง "ท่อนจันทน์" เครื่องมือที่ใช้ประหัตประหารชีวิตชนชั้นสูงในโบราณกาลกัน
จากหนังสือ “สำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์” ให้ข้อมูลว่า สมัยโบราณนั้นการประหารชีวิตเจ้านายชั้นสูงต้องมีรูปแบบพิเศษแตกต่างจากสามัญชนทั่วไป โดยกำหนดแบบแผนไว้ในกฎมณเฑียรบาล ว่าด้วยการสำเร็จโทษ ซึ่งน่าจะมีขึ้นครั้งแรกในสมัยสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง ปีจุลศักราช 722 (พ.ศ.1193) แล้วมีการปรับปรุงและกำหนดชัดขึ้นไว้ในกฎหมายตราสามดวง หมวดกฎมนเทียรบาล มาตรา 176
ผู้พิพากษาโทษ คือ กษัตริย์
ผู้กระทำความผิด คือ เชื้อพระวงศ์ พระมเหสี พระสนม
ลักษณะความผิด กฎมณเฑียรบาลจักกำหนดข้อปฏิบัติ ข้อห้าม และบทลงโทษหนักเบาตามพฤติกรรม หากเป็นบทหนักถึงประหารชีวิต ต้องได้รับคำสั่งจากกษัตริย์ซึ่งทรงพิจารณาว่าจะใช้โทษนั้นหรือไม่ กับใคร และเมื่อไร
ทีมงานประหารชีวิต จะประกอบด้วย นายแวง ผู้คุม กำกับดูแลนักโทษสู่แดนประหาร ระวังภัยมิให้มีการชิงนักโทษ สองขุนผู้ใหญ่ ตัวแทนกษัตริย์ในการเป็นประธานพิธีสำเร็จโทษและสามหมื่นทลวงฟัน เพชฌฆาต มีสองคนในการประหารแต่ละครั้ง
สำหรับแดนประหารในสมัยอยุธยานั้นคือที่ "วัดโคกพญา"(พระยา) ปัจจุบันน่าจะเป็นพื้นที่รวมของกลุ่มโบราณสถานคลองสระบัว จังหวัดอยุธยา อันได้แก่ วัดหน้าพระเมรุ วัดหัสดาวาส วัดตะไกร โดยมีวัดหน้าพระเมรุหรือวัดพระเมรุโคกพญา เป็นหลัก
ลักษณะท่อนจันทน์ คือ ไม้ค้อนขนาดใหญ่ที่มีปลายด้านหนึ่งใหญ่กว่าอีกด้านหนึ่ง รูปร่างคล้ายสากตำข้าว ทำจากไม้จันทน์หอม หลังจากพิธีประหารชีวิตเสร็จสิ้น จักใส่ไปในหลุมศพด้วย ขั้นตอนการสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ หนึ่งต้องพันธนาการร่างแล้วสวมถุงแดงตั้งแต่พระเศียรลงไปตลอดปลายพระบาท เอาเชือกรัดถุงให้แน่น เพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดจับต้องพระวรกายและมิให้ผู้ใดเห็นพระศพ แม้แต่เพชฌฆาต สองหมื่นทลวงฟันทำการไหว้ครู และขอขมาต่อนักโทษ สาม ทุบท่อนจันทน์บนพระนาภี (ท้อง) หรือ พระเศียร (หัว) คล้ายท่าตำข้าว และสี่นำพระศพฝังในหลุมซึ่งจัดเตรียมไว้ที่ โคกพญา แล้วจัดเจ้าพนักงานเฝ้ารักษาหลุม 7 วัน เพื่อมั่นใจว่าสิ้นพระชนม์ หรือ ป้องกันการชิงพระศพ
วัดโคกพระยา ดังข้าพเจ้าได้คัดข้อมูลมาให้อ่านศึกษาได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ พึงใช้วิจารณญาณ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี