วันที่ 22 พฤศจิากยน 2566 จากกรณีที่ น.พ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว เรื่องสารหวานในเครื่องดื่มไร้น้ำตาล ที่ชื่อว่า erythritol (อีริทริออล) ทำเสี่ยงหัวใจวาย อัมพฤกษ์ ('หมอธีระวัฒน์'เตือนสารทดแทนความหวาน เครื่องดื่มไร้น้ำตาล ทำเสี่ยงหัวใจวาย อัมพฤกษ์)
ล่าสุด รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกมาคลายความกังวล โพสต์ข้อความระบุว่า อย่าพึ่งแตกตื่นตกใจ โดยเฉพาะคนที่นิยมดื่มเครื่องดื่มไร้น้ำตาล บริโภคอาหารขนมไร้น้ำตาล เพราะจริง ๆ แล้วอาจารย์หมอพูดถึงแค่เฉพาะสารที่ชื่อว่า erythritol อีรีทริออล เพียงแค่ตัวเดียว ซึ่งสารอีรีทริออล นี้มักจะใช้ในอาหารและเครื่องดื่มของคนที่บริโภคอาหาร "คีโต" และไม่ใช่พวกสารให้ความหวานชนิด aspartame แอสปาร์แตม หรือ sucralose ซูคราโลส ที่นิยมใช้กันในบ้านเรา
แต่การบอกถึง "ความสัมพันธ์" ไม่ได้แปลว่าสารนี้จะเป็น "สาเหตุ" ของโรคเพราะถ้าคนที่มีความเสี่ยงจะป่วยเป็นโรคหัวใจหรือโรคหลอดเลือดในสมองอยู่แล้ว และได้รับการแนะนำให้กินอาหารไร้น้ำตาลเป็นประจำเพื่อให้ความหวานทดแทนน้ำตาล ก็ไม่แปลกอะไรที่จะพบว่า คนกลุ่มที่เป็นโรคนี้จะมีปริมาณสารในเลือดสูงตามไปด้วย
รศ.ดร.เจษฎา บอกอีกว่า ถ้าสรุปสั้น ๆ ก็คือ สำหรับคนทั่วไปที่ร่างกายแข็งแรงดี สารอิริทริทอลสามารถนำมาใช้บริโภคแทนน้ำตาลได้ แต่ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม ขณะที่กลุ่มที่มีความเสี่ยงเรื่องโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดในสมองอักเสบ ถ้ากังวล ก็ควรพิจารณาเปลี่ยนไปใช้สารให้ความหวานตัวอื่นไปก่อน
การรับประทานอิริทริทอลให้เหมาะสม
- ใช้ผสมในอาหารแทนการใช้น้ำตาลทราย คนทั่วไปสามารถรับประทานอิริทริทอลได้อย่างปลอดภัย โดยในปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดปริมาณสูงสุดที่บริโภคได้ในแต่ละวัน
- แต่ปริมาณที่คนส่วนใหญ่รับประทานอิริทริทอล แล้วมักไม่มีอาการข้างเคียง อยู่ที่ไม่เกิน 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เช่น ผู้ที่มีน้ำหนักตัว 68 กิโลกรัม ไม่ควรรับประทานอิริทริทอลเกิน 68 กรัม หรือประมาณ 13 ช้อนชาต่อวัน
คณะกรรมการความปลอดภัยทางอาหารของยุโรป แนะนำไว้ว่า ไม่ควรมีอิริทริทอลอยู่ในอาหารหรือเครื่องดื่มเกิน 0.6 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เพื่อความปลอดภัยของเด็กในการบริโภค
- อิริทริทอลมีค่าดัชนีน้ำตาล (GI หรือ glycemic index) เท่ากับ 0 คือไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นหลังรับประทาน จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด อย่างผู้ที่มีภาวะก่อนเบาหวาน (prediabetes) และเบาหวาน (diabetes) และอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานได้ แต่ไม่ควรรับประทานในปริมาณมาก เกินไป เพราะอาจทำให้บางคนท้องเสีย
ข้อควรระวังในการรับประทานอิริทริทอล
- การได้รับอิริทริทอลในปริมาณมากเกินไป อาจทำให้บางคนเกิดอาการผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่นเดียวกับน้ำตาลแอลกอฮอล์ชนิดอื่นๆ เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเสีย ถ่ายบ่อยกว่าปกติ หรือทำให้เกิดอาการของโรคลำไส้แปรปรวน (irritable bowel syndrome) โรคโครห์น (Crohn's disease) และโรคลำไส้อักเสบ (ulcerative colitis) แย่ลง
- ผู้ที่ตั้งครรภ์และกำลังให้นมบุตรสามารถรับประทานอิริทริทอลได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทาน เพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้ อาจเกิดผื่นแดงคัน ปากและใบหน้าบวม หายใจลำบาก
งานวิจัยใหม่ที่กำลังเป็นข่าว
- มีรายงานข่าวว่า สารอิริทริทอลนี้ อาจจะเกี่ยวข้องกับการอุดตันของเส้นเลือดหัวใจและเส้นเลือดสมอง โดยพบว่าคนที่มีระดับของสารอิริทริทอลในเลือดสูง จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเส้นเลือดสมองอักเสบ การเกิดลิ่มเสีย และการเสียชีวิต เมื่อเทียบกับคนที่มีระดับของสารนี้ในเลือดต่ำ
- งานวิจัยดังกล่าวชื่อว่า The Artificial Sweetener Erythritol and Cardiovascular Event Risk ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Medicine ฉบับปี 2023 โดย Marco Witkowski และคณะ จาก Department of Cardiovascular and Metabolic Sciences, Lerner Research Institute, Cleveland Clinic ประเทศสหรัฐอเมริกา (ดูที่ https://www.nature.com/articles/s41591-023-02223-9)
- งานวิจัยนี้เริ่มด้วยการศึกษาปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาการหัวใจวาย และหลอดเลือดในสมองอักเสบ ในคนกลุ่มที่กำลังได้รับการรักษา อันเนื่องจากมีระดับคลอเลสเตอรอลสูง มีระดับความดันโลหิดสูง มีโรคอ้วน เป็นโรคเบาหวาน หรือต้องเลิกสูบบุหรี่ ซึ่งกว่าครึ่งของคนกลุ่มนี้ จัดได้ว่าเป็นพวกที่มีความเสี่ยงที่หลงเหลืออยู่ (residual risk) ว่าจะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ... คณะผู้วิจัยได้เจาะเก็บตัวอย่างเลือดจากอาสาสมัครดังกล่าวจำนวน 1,157 คน และตรวจวัดหาปริมาณสารเคมีต่างๆ ที่อยู่ในเลือด ของคนที่มีภาวะหัวใจวาย หลอดเลือดสมองอักเสบ หรือเสียชีวิต ในเวลา 3 ปีต่อมา
- พวกเขาพบว่า สารอิริทริทอล เป็นหนึ่งในสารประกอบอันดับบนสุด ที่สามารถทำนายได้ว่าอาสาสมัครคนไหนจะมีความเสี่ยงสูงสุดในการเป็นโรค และพวกเขาตั้งสมมติฐานว่า การที่มีอิริทริทอลเป็นปริมาณมากในเลือด ดูจะเป็นตัวกระตุ้นในเกิดการสร้างลิ่มเลือดขึ้นได้
- พวกเขาจึงเอาสมมติฐานดังกล่าวไปทดลองในหนู และทดสอบกับตัวอย่างเลือดของคน ในห้องปฏิบัติการ และผลที่ได้นั้นสนับสนุนความเป็นไปได้ที่อิริทริทอลจะส่งเสริมให้เกิดลิ่มเลือดขึ้น
ความเห็นจากนักวิจัยคนอื่นเกี่ยวกับอิริทริทอล
- Robert Rankin กรรมการบริหาร ของสภาควบคุมแคลอรี (Calorie Control Council) ซึ่งเป็นองค์กรที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มแคลอรี่ต่ำ ได้ให้สัมภาษณ์แย้งไว้ว่า “ผลการศึกษานี้ ไม่สอดคล้องกับผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งบอกว่าสารให้ความหวานที่มีแคลอรีต่ำ อย่างเช่น อิริทริทอลนี้ปลอดภัย" และตั้งข้อสังเกตว่า "อาสาสมัครที่ร่วมในการวิจัยนี้ มีความเสี่ยงสูงขึ้นที่มีปัญหาในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจอยู่แล้ว ไม่ควรจะนำเอาผลดังกล่าวมาขยายจนเกินจริงกับประชาชนทั่วๆ ไป"
- มีงานวิจัยอื่นๆ ที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับหน้าที่ของอิริทริทอล ดังเช่น งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในปี 2017 (เรื่อง Erythritol is a pentose-phosphate pathway metabolite and associated with adiposity gain in young adults โดย Katie C. Hootman และคณะ ในวารสาร PNAS ฉบับ May 8, 2017
ดู https://www.pnas.org/doi/full/10.1073/pnas.1620079114) ซึ่งพบว่านักศึกษาปี 1 ของมหาวิทยาลัย Cornell University ที่มีระดับของอิริทริทอลในเลือดสูงตั้งแต่ต้นปีการศึกษา มีแนวโน้มจะมีน้ำหนักมากขึ้น กว่านักศึกษาที่มีระดับของสารในเลือดต่ำ ทำให้เกิดคำถามว่า ระดับของอิริทริทอลในเลือด เป็นตัวทำนายถึงปัญหาสุขภาพที่จะตามมาได้หรือไม่
- อิริทริทอล ยังสามารถแปรสภาพเป็นกรด ที่ชื่อว่า อิริโทรเนต erythronate ได้ เป็นสารที่มักจะพบอยู่ในเนื้อเยื่อของคนที่เป็นโรคมะเร็ง
- อีกงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Cornell University ในปี 2021 (เรื่อง Chronic Dietary Erythritol Exposure Elevates Plasma Erythritol Concentration in Mice but Does Not Cause Weight Gain or Modify Glucose Homeostasis ในวารสาร The Journal of Nutrition ฉบับ Aug 7;151( ดู https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/34091676/) ซึ่งทดลองให้หนูได้รับอิริทริทอลเป็นเวลานานๆ (แทนที่จะดูการคงอยู่ของอิริทริทอลในระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งมักพบว่า ร่างกายจะขับออกไปอย่างรวดเร็ว) พบว่า หนูที่รับอิริทริทอลเป็นปริมาณมาก เป็นเวลา 8 สัปดาห์ต่อกัน จะมีระดับของสารในเลือดสูงถึง 30 เท่าของหนูปรกติ และคงอยู่ในร่างกายนานอย่างน้อย 5 ชั่วโมง
สรุปว่าควรจะเลิกกินสารอิริทริทอลหรือไม่
- ยังคงเร็วเกินไปที่จะฟันธงว่าอิริทริทอลนั้นก่อให้เกิดปัญหาขึ้นกับคนที่กินมันเป็นประจำ ระดับของอิริทริทอลที่สูงในเลือดนั้นอาจจะเป็นเพียงแค่ตัวช่วยชี้บ่งทำนายถึงภาวะของโรคที่จะตามมา มากกว่าที่จะเป็นสาเหตุของโรค
- ในขณะที่คณะผู้วิจัย เสนอว่าหลีกเลี่ยงที่จะกินอิริทริทอล และ FDA ของสหรัฐอเมริกา ควรจะพิจารณาใหม่ ว่าจะยังยอมให้มันอยู่ในหมวดอาหารที่ "รับรู้กันโดยทั่วไปว่าปลอดภัย generally recognized as safe" อยู่อีกหรือไม่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี