ต้องบอกว่าในช่วง 1-2 เดือนนี้คือช่วงเวลาของ “หนังไทย” อย่างแท้จริง เพราะมีให้เลือกดูกันหลากหลายแนวจากหลากหลายสตูดิโอผู้สร้าง และหนึ่งในนั้นคือ “เรดไลฟ์ (Red Life)” ที่แม้จะไม่ได้มีกระแสแรงเหมือนอีกหลายๆ เรื่องในช่วงเวลาเดียวกัน แต่ความน่าสนใจอยู่ที่การหยิบยกประเด็น “คนชายขอบในเมืองใหญ่” มานำเสนอ ว่าด้วยชีวิตผู้คนในชุมชนแออัดแนวตั้งในกรุงเทพฯ กับความพยายามดิ้นรนให้มีชีวิตรอดด้วยเส้นทางสีเทาอย่างการขายบริการทางเพศ ไปจนถึงสีดำอย่างการเป็นโจรปล้นชิงทรัพย์
Red Life เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ตั้งแต่วันที่ 2 พ.ย. 2566 ที่ผ่านมา ขณะที่เมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2566 ภาคประชาสังคมหลายองค์กร จัดกิจกรรมร่วมชมภาพยนตร์และเปิดวงเสวนา “เราอยากมีชีวิตที่ดีกว่านี้ : ความฝันของคนชายขอบที่รอวันไปให้ถึง” โดยวิทยากรที่ทำงานกับคนชายขอบกลุ่มต่างๆ อาทิ “ป้ามล” ทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า ทุกคนอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่จริงๆ แล้ว เราไม่สามารถเป็นผู้กำหนดชีวิตที่ดีได้ด้วยตนเอง แต่มีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง
ซึ่งต้องบอกว่า “แม้ชีวิตที่ดีจะไม่สามารถกำหนดนิยามได้ แต่อย่างหนึ่งคือทุกคนต้องเป็นมนุษย์ได้” เช่น ทุกคนมีสิทธิในการเรียนหนังสือ สิทธิในการมีชีวิตที่ปลอดภัย และสามารถเข้าไปแตะต้องพื้นที่แห่งความสุขได้บ้าง ไม่ใช่อยู่อย่างหดหู่ อย่างสิ่งที่เห็นในภาพยนตร์ เป็นการสะท้อนภาพ “ความจนซ้ำซาก-ความจนข้ามรุ่น”ภาพเหล่านี้ต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงก็ไม่อาจทำได้โดยปัจเจก แต่ต้องมาจากนโยบายที่ดีของประเทศ
นอกจากทำงานกับเยาวชนชายที่พลาดพลั้งทำผิดกฎหมาย ในฐานะ ผอ.บ้านกาญจนาฯ แล้ว ป้ามล ยังเล่าด้วยว่า เคยทำงานกับเยาวชนหญิงที่เป็นลูกของผู้ขายบริการทางเพศ ในยุคสมัยที่ท้องสนามหลวงยังเป็นพื้นที่ที่ผู้คนเข้าไปใช้ทำกิจกรรมต่างๆ ได้ ซึ่งแม้จะเข้ามาอยู่ในความดูแล แต่ก็ยังมองเห็นร่องรอยการดิ้นรนเอาชีวิตรอด แต่ร่องรอยนี้จะอยู่ไม่นานหากรู้สึกว่ามีชีวิตที่ปลอดภัย “ทุกคนอยากออกจากมุมมืด แต่แสงสว่างอยู่ตรงไหน?” หากมีระบบนิเวศที่ดีในสังคม คนก็จะต่อสู้กับตนเองและออกมาได้ และการที่คนคนหนึ่งจะเดินไปถึงฝั่งฝันบางครั้งก็ต้องการตัวช่วย
“เพดานสูงสุดที่เราชอบพูดว่าพ่อแม่เลี้ยงมันไม่ดี พ่อแม่ไม่รับผิดชอบลูก เลี้ยงไม่ดีลูกถึงต้องออกมาก่ออาชญากรรม เพดานสูงสุดของเราคิดได้แค่นี้ ต้องขอบคุณคนที่คิดคำว่าทะลุเพดาน เพราะมันทำให้เรารู้ว่ามนุษย์ไม่ควรจะมีเพดานการคิดที่ต่ำขนาดนั้น เพราะเรามีเพดานการคิดที่ต่ำขนาดนั้น เราก็เลยคิดว่าพ่อแม่เป็นจำเลยตัวจริงของสังคม แต่สำหรับป้า พ่อแม่เป็นแค่จำเลยร่วม จำเลยตัวจริงกว่า 50% ของคนที่ก่ออาชญากรรม หรือเด็กผู้หญิงที่เดินในเส้นทางสายมืดก็แล้วแต่ ป้าคิดว่านั่นคือความรับผิดชอบของรัฐ นโยบายสาธารณะที่ไม่ดีพอ” ป้ามล กล่าว
สมาน สุมาลุย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ (SWING) องค์กรที่ทำงานกับผู้ขายบริการทางเพศ (Sex Worker) และพนักงานสถานบันเทิง กล่าวว่า “ชีวิตที่ดีนอกจากการเข้าถึงปัจจัย 4 แล้วยังต้องอยู่ในครอบครัวที่สามารถเกื้อหนุน (Support) เราได้ และอยู่ในสังคมที่ปลอดภัย” นอกจากนั้นทุกคนควรมีสิทธิที่เท่าเทียมกัน เช่น การประกอบอาชีพ การเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ อย่างกรณีของการขายบริการทางเพศความเสี่ยงที่คนทำงานนี้ต้องเจอคืออันตรายที่อาจเกิดขึ้นเมื่อไปกับลูกค้า คำถามคือ แล้ว Sex Worker จะเรียกร้องสิทธิที่ใดได้บ้าง
“บางคนอาจถูกปล้น บางคนอาจถูกทำร้าย บางคนอาจถูกไม่ให้ค่าตัว คำถามคือ แล้ว Sex Worker จะไปเรียกร้องสิทธิที่ไหนได้ โดนปล้นไปแจ้งความก็ไม่ได้ โดนเบี้ยวค่าตัวไปแจ้งความได้ไหม? ก็ไมได้! อาชีพอื่นถ้าถูกแบบนี้ไปแจ้งความร้องเรียนได้ ประกันสังคมจ่ายเคลมให้ แต่ Sex Worker เขาถูกทำแบบนี้ไม่สามารถไปร้องเรียนได้ ดังนั้น SWING ก็จะพยายามขับเคลื่อนเต็มที่ในการให้อาชีพนี้ถูกกฎหมาย” สมาน กล่าว
ศิริศักดิ์ ไชยเทศ ตัวแทน MoveD เครือข่ายขจัดการเลือกปฏิบัติ กล่าวว่า “ชีวิตที่ดีคือทุกคนเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียมกัน” ไม่เลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ เชื้อชาติ ศาสนา ขณะที่ประเด็น Sex Worker ปัญหาของประเทศไทยคือการมีอยู่ของ “พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539”ซึ่งเป็นคำถามว่า “เหตุใดการใช้ร่างกายตนเองหาเงินจึงผิดกฎหมาย” ทั้งที่เป็นสิทธิในเนื้อตัวร่างกายของเราเอง ทางแก้จึงต้อง “ยกเลิก” กฎหมายนี้
“มันไม่ได้คุ้มครอง เห็นจากที่ผ่านมา ถ้ามีเหตุการณ์เกิดขึ้น ล่อซื้อ จับกุม ค้ามนุษย์ พ.ร.บ. นี้ไม่ช่วย สมมุติไปล่อซื้อ เจอเด็ก พ.ร.บ. นี้ช่วยไหม? ไม่! เพราะมันมีกฎหมายคุ้มครองเด็กอยู่ ถ้ามีเรื่องของการบังคับมาขายบริการ ก็มีกฎหมายอาญาและกฎหมายค้ามนุษย์มาคุ้มครองอยู่ พ.ร.บ.นี้ ไม่มีประโยชน์อะไรเลยนอกจากการแสวงหาผลประโยชน์ เช่น ส่วย ถ้าเธออยากขายเธอก็จ่ายมา” ศิริศักดิ์ กล่าว
สิทธิพล ชูประจง หัวหน้าโครงการผู้ป่วยข้างถนนและจ้างวานข้า มูลนิธิกระจกเงา ซึ่งทำงานกับคนไร้บ้าน กล่าวว่า “หากไปถามคนไร้บ้านที่อยู่ข้างถนน เขาจะบอกว่าอยู่ได้..แต่หากถามถึงความฝัน พวกเขาจะบอกว่าไม่มี” หรือโดยสรุปคือ “คนไร้บ้านนึกไม่ออกว่าชีวิตที่ดีคืออะไร” หากไม่มีคนแนะนำแนวทางก็ไม่รู้ว่าบ้านแบบไหนที่เหมาะสม หรือไม่รู้ว่างานแบบใดที่จะทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้น
ขณะเดียวกัน หากย้อนกลับมาถามตัวเราเองว่าอะไรคือชีวิตที่ดี วันนี้ตนเองก็ยังตอบไม่ได้ “สังคมนี้ไม่เคยทำให้เกิดการคิดว่าชีวิตที่ดีเริ่มที่ตรงไหน” ซึ่งความเป็นมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่เส้นความยากจนหรือมิติทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว อย่างเรื่องของปัจจัย 4 ถามว่าคนไร้บ้านมีที่อยู่อาศัยหรือไม่ คำตอบคือมี แต่นั่นคือชีวิตที่ดีหรือไม่ หรือยารักษาโรค คือการไปซื้อยาแก้ปวดเมื่อเจ็บป่วย แต่หากเจ็บป่วยมากๆ ก็เข้าไม่ถึงระบบสาธารณสุข และแม้บางคนจะมีต้นทุนชิวิตที่ดี เช่น มีทักษะอาชีพมาก่อน แต่เมื่อเป็นคนไร้บ้านแล้วกลับพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะออกไปจากสถานะนี้ได้
“ความเป็นคนไร้บ้าน สิ่งที่หนึ่งมันเป็นปัญหาคือพอมาอยู่แล้ว การจะออกจากมันยากพอสมควร ออกจากวงจรคนไร้บ้าน พยายามทำงานทุกอย่าง ไปรับพระ ไปต่อคิวรับข้าวของ หรือไปรับจ้างทั่วๆ ไป แต่ชีวิตมันไม่ดีขึ้นเลย แม้ว่ามีต้นทุนอยู่แต่ไม่สามารถออกจากสิ่งนี้ได้ ผมคิดว่ามันต้องมีอะไรผิดปกติ มีต้นทุนแต่ไม่สามารถเอาต้นทุนที่ตัวเองมีโยงและปีนป่ายออกจากวงจรนั้นได้ ผมว่ามันเป็นเรื่องประหลาดมาก” สิทธิพล กล่าว
ขณะที่มุมมองจากคนทำงานการเมือง “ช่อ” พรรณิการ์ วานิช ตัวแทนคณะก้าวหน้า กล่าวว่า “ชีวิตที่ดีคือชีวิตที่ทุกคนมุ่งไปข้างหน้าเพื่อไขว่คว้าสิ่งที่ตนเองฝันได้โดยไม่ต้องกลัวว่าความผิดพลาดหมายถึงความตาย” แต่ละคนมีความฝันไม่เหมือนกัน เช่น ฝันอยากไปต่างประเทศ ฝันอยากมีชีวิตกับคู่รักที่เป็นเพศเดียวกันซึ่งสามารถแต่งงานจดทะเบียนสมรสได้ ฝันอยากเป็นดารา เป็นเชฟ ฯลฯ แต่ชีวิตที่ดีคือแม้คนคนหนึ่งจะไม่ไปถึงความฝันอย่างน้อยก็ยังแค่เจ็บแต่ไม่ถึงตาย ซึ่งก็หมายถึงการลุกขึ้นกลับมาได้
ดังสิ่งที่เห็นในภาพยนตร์ พรรณิการ์ ยกตัวอย่างบางตัวละคร เช่น คนเคยติดยาเสพติดและมีประวัติอาชญากรรม จะหางานสุจริตทำก็ไม่มีใครรับ หรือหญิงขายบริการทางเพศที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวซึ่งต้องการส่งลูกให้เรียนสูงๆ เพื่อที่ลูกจะได้มีชีวิตที่ดีกว่าตนเอง ปัญหาคือเมื่อผู้เป็นแม่ไม่มีโอกาสได้พัฒนาทักษะอาชีพ (Upskill & Reskill) แล้วจะมีอาชีพอื่นใดที่หาเงินได้มากพอ
“จะพูดว่าชีวิตนี้ทำบุญมาน้อยก็เลยโดน Barrier (กำแพงขวางกั้น) แบบนี้ เกิดมาจนก็ให้ใช้วิธีทำบุญ 9 วัดไปชาติหน้าจะได้รวยกว่านี้ มันไม่ใช่! แต่รัฐมีหน้าที่ คุณจะมี Decent Life (ชีวิตที่ดี) คุณต้องมี Decent Job (งานที่ดี)คือ Decent Life ไม่ใช่ทำบุญเยอะแล้วได้มา คุณต้องมีงานที่ดี Decent Job ไม่ใช่แค่ค่าจ้างดี แต่มันคืองานที่มันดีโดยรวม เป็นงานที่เราอยากทำ รู้สึกมีศักดิ์ศรีมีคุณค่า และมีรายได้พอที่จะมีชีวิตที่ดีได้ คำถามคือรัฐนำสิ่งนี้มาให้กับชีวิตคุณได้อย่างไร ก็คือรัฐบาลที่เข้าใจทั้งหมดที่เราพูดมา ก็จะเป็น Decent Government (รัฐบาลที่ดี)” พรรณิการ์ กล่าว
ด้าน มานพ มีจำรัส ตัวแทนนักแสดงจาก Red Lifeกล่าวว่า ภาพของทุกตัวละครในภาพยนตร์ที่พยายามตะเกียกตะกาย สะท้อนให้เห็นว่า “คนที่ร้องไห้ก็ยังคงร้องไห้อยู่ และเมื่อบอกให้ลุกขึ้นสู้ก็ไม่มีมือที่ยื่นเข้ามาช่วยเหลืออย่างจริงจัง” ยิ่งเมื่อได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นรอบที่ 2 ก็ยิ่งรู้สึกว่ายิ่งดูยิ่งเจอสิ่งจริง เป็นภาพที่ฉายวนซ้ำแต่ภาพยนตร์ก็ยังพูดถึงการรอคอย โดยตัวละครต่างก็มีความหวัง แต่สุดท้ายใครสมหวังเรื่องอะไรบ้าง
“นั่นละที่ผมมองว่าจริงๆ แล้ว ทุกภาคส่วนต้องทำให้เขาสมหวังให้ได้จากหนังเรื่องนี้” มานพ กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี