“เมืองที่เจริญก้าวหน้าไม่ใช่เมืองที่คนจนมีรถยนต์ส่วนตัวใช้ แต่เป็นเมืองที่แม้คนรวยก็ยังยินดีใช้บริการขนส่งสาธารณะ (An advanced city is not one where even the poor use cars, but rather one where even the rich use public transport)” เป็นคำกล่าวของ เอ็นริเก เพนาโลซา (Enrique Penalosa) อดีตนายกเทศมนตรีกรุงโบโกตา เมืองหลวงประเทศโคลอมเบีย ที่มักถูกหยิบยกมาพูดถึงเสมอเมื่อกล่าวถึง “เมืองที่ดี” เพราะเมืองที่มีรถส่วนตัวจำนวนมาก ส่งผลต่อปัญหาทั้งการจราจรติดขัด มลพิษจากไอเสีย ตลอดจนภาระค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการซื้อและบำรุงรักษารถ
ขณะที่ในประเทศไทยเองก็มีความพยายามให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชนแทนการใช้รถส่วนตัว หนึ่งในนั้นคือการก่อสร้างรถไฟฟ้าสารพัดสายสี รวมถึงนโยบาย “ค่าโดยสาร20 บาทตลอดสาย” โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมคนปัจจุบัน สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค. 2566 กับสายสีแดงและสายสีม่วง อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าภายหลังจากเริ่มนโยบายดังกล่าว รัฐต้องแบกรับการขาดทุนของรถไฟฟ้าทั้ง 2 สาย เฉลี่ยวันละ 7.4 ล้านบาทอีกทั้งก็ไม่ได้ทำให้คนหันมาใช้รถไฟฟ้ามากขึ้นอย่างที่คาดหวังแต่อย่างใด
อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) สามารถ ราชพลสิทธิ์ กล่าวในรายการ “แนวหน้าTalk” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” วันที่ 30 พ.ย. 2566 ซึ่งมี จิตกร บุษบา เป็นพิธีกร ในประเด็นนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาท ที่มีข่าวว่าทำให้เกิดปัญหาการขาดทุนวันละ 7.4 ล้านบาท ว่า ตนเห็นด้วยกับการทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าถูกลง แต่ต้องอยู่บนความสมเหตุสมผลและความเป็นไปได้
โดยหากย้อนไปในปี 2547 สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมสมัยนั้นคือนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งก็เป็นคนเดียวกับ รมว.คมนาคมคนปัจจุบัน ก็เคยพยายามจะทำให้อยู่ที่ 15 บาทตลอดสาย แต่ก็ทำไม่สำเร็จเพราะรัฐก็ต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อซื้อสัมปทานคืน ต่อมาในปี 2554 รัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็ต้องการทำให้ค่าโดยสารอยู่ที่ 20 บาทตลอดสายอีก แต่สุดก็ทำไม่ได้เช่นกัน ในเวลานั้นตนตั้งกระทู้ถามแล้วก็ได้รับคำตอบว่า ต้องรอให้การก่อสร้างรถไฟฟ้าแล้วเสร็จครบ 10 สายเสียก่อน ซึ่งก็ไม่มีทางเป็นไปได้ภายใน 4 ปี
แต่การเลือกตั้งในปี 2562 และปี 2566 พรรคเพื่อไทยก็ยังคงหาเสียงเรื่องนี้เช่นเดิม ซึ่งตนก็เสนอแนะว่ารัฐบาลสามารถทำได้หากยินดีชดเชยการขาดทุน และไม่จำเป็นต้องรอถึงปีใหม่ อย่างสายสีแดงและสีม่วง สามารถทำได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2566 และสุดท้ายก็เริ่มทำในวันที่ 16 ต.ค. ปีเดียวกัน แน่นอนว่าผลที่ออกมาคือขาดทุน ซึ่งจริงๆ หากจะพูดให้เป็นธรรมคือของเดิมก็ขาดทุนกันมาก่อนอยู่แล้ว แต่วิธีการที่ดีคือต้องทำให้ขาดทุนน้อยลง วันละ 7.4 ล้านบาทไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ หากคิดเป็นปีหนึ่งก็กว่า 2 พันล้านบาท
“ทำไม 20 บาท? ผมไม่ทราบ คงคิดว่าคนส่วนใหญ่สามารถจ่ายได้ แต่เอาเข้าจริงเรื่องค่าโดยสาร 20 บาทต่อสายไม่ดึงดูดให้คนมาใช้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มีปัจจัยอื่นอีก เช่น การเดินทางเข้า-ออกสถานีรถไฟฟ้า ในบางสถานีนั้นเราหาสถานีแทบไม่เจอ หายากมากโดยเฉพาะสายสีแดงจากบางซื่อไปตลิ่งชัน ระยะทาง 15 กิโลเมตร หาสถานียากจริงๆ ตรงนี้ต้องมีป้ายบอกเส้นทาง มีที่จอดรถ ระบบอาคารจอดแล้วจรต้องทำเอื้อประโยชน์แก่ผู้ใช้บริการด้วยถึงจะทำให้คนมีเพิ่มขึ้น” สามารถ กล่าว
สามารถ กล่าวต่อไปว่า ตนอยากให้โครงการนี้สำเร็จ คือค่าโดยสารถูกลง แต่ก็ต้องลดการขาดทุนลงให้ได้ด้วย โดยหากเป็นตนจะใช้นโยบาย 50 บาท นั่งได้ทุกสายทั้งวัน หากใช้ 2 เที่ยวต่อวัน อยู่ที่เที่ยวละ 25 บาท หรือ 4 เที่ยวต่อวันจะอยู่ที่เที่ยวละ 12.50 บาท เชื่อว่าจะทำให้คนมาใช้บริการมากขึ้น และเอาจริงๆ ที่เริ่มทำจากสายสีแดงกับสีม่วงก็ไม่ตรงตามที่หาเสียงไว้ แต่ที่เลือกทำเพราะทั้ง 2 สายเป็นของรัฐโดยตรง และสำหรับสายสีม่วงก็เป็น 20บาทตลอดสายมาตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แล้ว เพียงแต่อาจมีการประชาสัมพันธ์น้อย
แต่หากจะทำให้ได้กับรถไฟฟ้าทุกสาย อย่างแรกต้องเริ่มจากการเจรจากับผู้รับสัมปทาน โดยเจ้าที่มีส่วนแบ่งรายได้มากที่สุดคือ BTS รองลงมาคือ BEM โดยเฉพาะการเจรจากับ BTS หากทำได้สำเร็จตนเชื่อว่า BEM ก็จะยอมเช่นกัน ซึ่งสาระสำคัญของการเจรจาคือรัฐจะชดเชยรายได้ที่น้อยลงอย่างไรไม่เช่นนั้นก็จะไม่ได้รับความร่วมมือเพราะเขาทำสัญญาสัมปทานกับรัฐมาว่าต้องเก็บค่าโดยสารอัตราหนึ่ง เช่น สายสีเขียว 17-47 บาท หากเก็บ 20 บาทตลอดสายย่อมมีรายได้ลดลง อย่างไรก็ต้องไม่ยอม
“รัฐต้องชดเชยให้เขาปีหนึ่งประมาณ 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท ถือว่าไม่น้อย แต่ถ้าใช้นโยบายของผม 50 บาททั้งวันตลอดสายไม่อั้นทุกสายทุกสีได้หมด อันนี้ชดเชยประมาณ 7.5 พันล้านบาท คือคนใช้บริการมากกว่า รัฐควักกระเป๋าน้อยกว่า คือรถไฟฟ้าบางสายผู้โดยสารน้อยมากจริงๆ สร้างแล้วไม่คุ้มค่า สร้างแล้วปล่อยว่างปล่อยโล่งไว้ ควรจะมีคนใช้บริการมาก เพื่อว่าเราลดการสูญเสียพลังงานน้ำมันเชื้อเพลิง มลภาวะมี PM2.5 น้อยลง เอาประโยชน์ทางนั้นประโยชน์ทางอ้อมมา” อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. ระบุ
กับคำถามที่ว่า “ในการวางแผนก่อสร้างรถไฟฟ้าแต่ละสาย ไม่ได้มีการคำนวณปริมาณผู้โดยสารเพื่อประเมินความคุ้มค่าไว้หรือ?” ประเด็นนี้ สามารถ อธิบายว่า จริงๆ แล้วมีการศึกษาความเป็นไปได้ก่อนการก่อสร้าง เช่น สายสีม่วงมีการประเมินว่าจะมีผู้โดยสารเฉลี่ย 2 แสนคนต่อวัน แต่พอเปิดใช้งานจริงกลับมีเพียง 2 หมื่นคนต่อวัน ซึ่ง “การคำนวณในแผนมักสูงกว่าความเป็นจริงเพื่อให้เห็นว่าคุ้มค่าและควรลงทุนก่อสร้าง” แต่เมื่อสร้างแล้วสุดท้ายรัฐก็ต้องแบกรับภาระการขาดทุนที่เกิดขึ้น
โดยรัฐวิสาหกิจ อาทิ การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) และ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ก็จะต้องทำเรื่องของบประมาณจากรัฐมาชดเชยการขาดทุน “และแม้จะบอกว่าระบบขนส่งมวลชนเป็นบริการสาธารณะไม่ควรคิดถึงผลกำไรสูงสุด แต่ก็ต้องทำให้ภาระการขาดทุนเกิดขึ้นน้อยที่สุดด้วยเช่นกัน” เพื่อให้รัฐมีงบประมาณเหลือไปใช้พัฒนาประเทศหรือช่วยเหลือประชาชนในด้านอื่นๆ ต่อไป
ทั้งนี้ หากรัฐบาลจะนำแนวคิด “50 บาททั้งวันตลอดสายไม่อั้นทุกสายทุกสี” ที่ตนเสนอไปใช้ แล้วเจรจากับเอกชนอย่าง BTS และ BEM ได้สำเร็จ สิ่งที่ต้องทำคือตั้งคณะกรรมการเพื่อจัดสรรรายได้-รายจ่ายแต่ละวันสำหรับชดเชยการขาดทุนของเอกชน (Clearing House) แต่ความท้าทายคือ “ปัจจุบันรัฐยังเป็นหนี้เอกชนในบางสายอยู่” อาทิ กทม. เป็นหนี้ BTS กว่า 5 หมื่นล้านบาท ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ยังไม่นับงานโยธาที่ กทม. รับโอนมาจากรฟม. ซึ่งรวมทั้งหมด กทม. มีหนี้กว่า 1 แสนล้านบาท แต่ กทม. ก็กำลังหาทางจ่ายบางส่วนอยู่
“กทม. ทำเรื่องไปที่มหาดไทยแล้ว มหาดไทยต้องนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม ครม. (คณะรัฐมนตรี)เรื่องนี้ผมคิดว่าควรจะเร่งจ่ายให้เขา เพราะคุณมีทางเลือก 2 ทาง ถ้ามีเงินก็จ่ายเงิน ถ้าไม่มีเงินคุณก็ต้องขยายเวลาสัมปทานให้เขา จากปีสุดท้ายที่สิ้นสุดระยะเวลาสัมปทานคือ 2572 ออกไปอีก 30 ปีคือ 2602 ต้องทำอย่างนั้นไม่มีทางเลือก ยิ่งดองไว้หนี้ก็ยิ่งพอกหางหมู พอกพูนขึ้นทุกวัน
ที่จริงรัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงคมนาคมเห็นด้วยแล้วนะให้ขยายสัมปทานให้ BTS สายสีเขียว เพราะรัฐบาลหรือกระทรวงคมนาคมเคยขยายสัมปทานให้สายสีน้ำเงิน ซึ่งรับสัมปทานโดย BEM มาแล้ว หลายปีด้วย แต่ทำไมกับ BTS ไม่ทำ เป็นคำถามที่น่าสนใจ เพราะที่จริงเขาเห็นด้วยมาตลอด แต่พอมามีการประมุลก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตะวันตก) ตรงนั้นมีปัญหาขึ้นมา มีการฟ้องร้อง BTS ฟ้อง รฟม. ก็ต่อสู้กันมา ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การขยายสัมปทานสายสีม่วงมีปัญหาจนถึงทุกวันนี้” สามารถ กล่าว
ในคดีฟ้องร้องข้างต้นนั้น BTS ไม่ยอมแพ้และไม่ถอยในการประมูลสายสีส้ม (ตะวันตก) และอาจถึงขั้นชนะการประมูลได้รับงานก็เป็นได้ เพราะครั้งแรกที่ประมูลได้เสนอราคาที่ถูกกว่าผู้ชนะการประมูลครั้งที่ 2 ถึง 6.8 หมื่นล้านบาท เงินจำนวนนี้เพียงพอจะสร้างรถไฟฟ้าได้อีก 1 สาย ซึ่ง สามารถ กล่าวว่า ในขณะที่สายสีส้ม (ตะวันออก) ก่อสร้างเสร็จแล้ว แต่ยังไม่เปิดใช้บริการเพราะไปผูกกันระหว่างช่วงตะวันออกกับตะวันตกน่าเสียดายที่ไม่แยกกันแล้วให้ รฟม. เดินรถสายสีส้ม (ตะวันออก)ไปก่อน ซึ่งเสียโอกาสแถมยังต้องมาเสียค่าบำรุงรักษาอีกต่างหาก
กลับมาที่สายสีม่วงและสีแดง ซึ่งขาดทุนเฉลี่ย 7.4 ล้านบาทอดีตรองผู้ว่าฯ กทม. ระบุว่า การขาดทุนจะยังคงดำเนินต่อไปเว้นแต่ปริมาณผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้“ในกรณีสายสีม่วง การก่อสร้างรถไฟฟ้าขนาดหนักเต็มรูปแบบนั้นเกินความจำเป็น” จริงๆ แล้วควรทำแบบ “โมโนเรล (Monorail)” ที่เล็กกว่าแบบเดียวกับสายสีเหลือง จะประหยัดการก่อสร้างไปได้ร้อยละ 30-40 แต่ในเมื่อเลยจุดนั้นมาแล้วก็ต้องหาทางเพิ่มจำนวนผู้โดยสาร
แต่เรื่องนี้ก็ไม่ง่ายอีก เพราะแม้ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงจะมีหมู่บ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมจำนวนมาก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นเรียกว่ามีผู้อยู่อาศัยหนาแน่น ส่วนคำถามเรื่องรัฐบาลจะทำนโยบาย 20 บาทตลอดสายต่อไปหรือไม่ ตนเชื่อว่าต่อไปจะมีการทำ 20 บาทตลอดสาย ในรถไฟฟ้าทุกสาย ซึ่งก็ต้องไปเจรจากับทั้ง BTS และ BEM ให้ได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับข้อเสนอของตนจะอยู่ที่ 50 บาทตลอดสาย แม้จะสูงกว่าแต่เป็นไปได้มากกว่า เพราะการซื้อบัตร 50 บาท ไปที่ไหนก็ได้ทั้งวันเชื่อว่าจะดึงดูดให้คนมาใช้บริการมากขึ้น
อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. ยังกล่าวถึงแนวคิด “ตั๋วร่วม” หมายถึงตั๋วใบเดียวใช้บริการรถไฟฟ้าได้ทุกสายด้วยว่า ตั๋วร่วมเป็นแนวคิดที่ถูกพูดถึงกันมานานกว่า 20 ปี แต่ก็อาจมีผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่งไม่ยอม เพราะทำให้เสียค่าแรกเข้าเพียงครั้งเดียว ซึ่งในปัจจุบัน เช่น เมื่อจะใช้บริการสายสีเขียวผู้โดยสารก็ต้องเสียค่าแรกเข้า หมายถึงค่าเข้าจากสถานีไปชานชาลา จำนวน 14 บาท จากนั้นเมื่อจะไปต่อสายสีน้ำเงินก็ต้องเสียค่าแรกเข้าอีก 14 บาท แต่หากเป็นตั๋วร่วมใบเดียวจะทำให้การเสียแบบนี้หายไป
อย่างปัจจุบันหากนั่งสายสีม่วงจากบางใหญ่มาถึงเตาปูนแล้วไปต่อสายสีน้ำเงิน 14 บาทที่เป็นค่าแรกเข้า รฟม. ยกเว้นให้ผู้โดยสาร แต่ รฟม. ชดเชยให้ BEM ที่เป็นผู้รับสัมปทาน เพราะ 14 บาทนั้น BEM ไม่ยอมลดให้ ซึ่งก็เป็นธรรมดาเพราะหมายถึงการเสียรายได้ แต่หากมีการชดเชยก็เกิดขึ้นได้ ซึ่งตนหวังให้ข้อเสนอของตนถูกนำไปใช้และทำให้ทุกอย่างจบลงได้ในรัฐบาลชุดนี้ เพราะจะเป็นประโยชน์กับประชาชน ตนไม่สงวนลิขสิทธิ์ สามารถนำไปใช้ได้เลย เชื่อว่าจะทำให้มีผู้โดยสารเพิ่ม ขึ้น ได้ผลมากกว่า 20 บาทตลอดสายแน่นอน และเป็นภาระของรัฐน้อยลงด้วย
“จาก 1.2 – 1.3 หมื่นล้าน อาจลดลงเหลือ 7 – 7.5 พันล้าน และต่อไปจะลดลงเรื่อยๆ เพราะคนจะมาใช้มากขึ้นเรื่อยๆ เงินชดเชยจะต่ำลงเรื่อยๆ จนไม่ต้องชดเชย ถ้าทำวิธีนี้กับทุกคนไม่ว่าคนไทย-คนต่างชาติ 50 บาทตลอดสาย คนต่างชาติผมว่าเขายินดี ไม่ต้องเก็บแพง เพราะเขาต้องมาช่วยซื้อสินค้าของเราแถวถนนสุขุมวิท แถวถนนพหลโยธิน ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยว ผมว่าเป็นไปได้แน่ และผมเชื่อว่าเอกชนเขาตอบรับแน่” สามารถ กล่าวย้ำ
อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. ยังกล่าวอีกว่า ตนขอให้กำลังใจ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม และเห็นด้วยกับความพยายามทำค่าโดยสารรถไฟฟ้าให้ถูกลง เพราะกรุงเทพฯมีค่าโดยสารรถไฟฟ้าแพงเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ ในโลกแต่ที่ต้องแพงเพราะหลายโครงการเอกชนเป็นผู้ลงทุน หรือไม่ก็เป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างรัฐกับเอกชน ต่างกับประเทศอย่างจีน ญี่ปุ่น ที่รัฐเป็นผู้ลงทุนทั้งหมด โดยเฉพาะจีนนั้นก็มีผู้โดยสารใช้บริการจำนวนมากจนสามารถเก็บค่าโดยสารในราคาถูกได้
สิ่งที่ควรทำจึงอยู่ที่ 1.เจรจากับเอกชน 2.ใช้นโยบายตั๋วบุฟเฟ่ต์ 50 บาททั้งวันตลอดสายไม่อั้นทุกสายทุกสี เพื่อดึงดูดให้มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น “แม้จะอยู่กันคนละพรรคแต่ก็พร้อมให้คำปรึกษา” เพราะเรื่องการเมืองต้องตัดทิ้ง โดยมองกันที่ผลประโยชน์ต่อส่วนรวม และจะยินดีอย่างยิ่งหากประสบความสำเร็จ เพราะจะเป็นประโยชน์อย่างมากกับประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ทั้งการเดินทางที่สะดวกสบายขึ้น ลดการเสียเวลา ลดการใช้พลังงานน้ำมันเชื้อเพลิง และลดมลพิษ!!!
หมายเหตุ : สามารถติดตามรายการ “แนวหน้า Talk” ดำเนินรายการโดย บุญยอด สุขถิ่นไทย ได้ผ่านทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ช่วงหัวค่ำโดยประมาณ!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี