ผ่านพ้นไปแล้วกับการเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ของ พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2566 ที่ผ่านมาหลังจากที่ยืดเยื้อกันมาหลายเดือน ในที่สุด “พรรคสีฟ้าตราพระแม่ธรณีบีบมวยผม” ก็ได้ผู้นำคนใหม่ คือ เฉลิมชัย ศรีอ่อน แต่ก็ต้องบอกว่าบรรยากาศในวันดังกล่าว “ตึงเครียด” โดยเฉพาะคลิปวีดีโอที่ถูกแชร์ออกมาจากที่ประชุม เมื่ออดีตหัวหน้าพรรค อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลุกขึ้นประกาศขอคุยกับ เฉลิมชัย แบบ “ตัวต่อตัว” หลายคนที่ได้เห็นก็วิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่เคยเห็นอดีตหัวหน้าพรรคผู้นี้มีสีหน้าแววตา “เดือด” ขนาดนี้มาก่อน
และแม้จะได้หัวหน้าพรรคคนใหม่ แต่ก็ได้เผยให้เห็น “รอยร้าว” ไล่ตั้งแต่ อภิสิทธิ์ ประกาศลาออกจากพรรค ตามด้วยสมาชิกระดับ “บิ๊กเนม” ผ่านการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) มาแล้ว ทั้ง สาธิต ปิตุเตชะ อดีต สส.ระยอง, สาทิตย์ วงศ์หนองเตย อดีต สส.ตรัง, อรอนงค์ กาญจนชูศักดิ์ อดีต สส.กรุงเทพฯ, อัญชลี วานิช เทพบุตร อดีต สส.ภูเก็ต เมื่อประกอบกับในการเลือกตั้งใหญ่ 2 ครั้งล่าสุด “ภาคใต้” ที่พรรคเคยครองพื้นที่มานานกระแสนิยมไม่มากเหมือนก่อนก็ทำให้คอการเมืองไม่น้อยมองว่า หรือนี่คือบท “อวสาน” ของพรรคประชาธิปัตย์เสียแล้ว
รายการ “แนวหน้าTalk” ทางช่องยูทูบ“แนวหน้าออนไลน์” ซึ่งมี ปรเมษฐ์ ภู่โต เป็นพิธีกรเมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2566 นราพัฒน์ แก้วทอง ซึ่งเพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองหัวหน้าพรรค (ตามภารกิจ) พรรคประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้งหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคชุดล่าสุด ได้มาบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่9 ธ.ค. 2566 ว่า ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะมีบรรยากาศของความรุนแรงอย่างที่เห็นในข่าว แต่ก็ต้องยอมรับว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองที่มีความเป็นประชาธิปไตย มีการแข่งขันในพรรคค่อนข้างรุนแรง
อย่างตนก็อยู่ในพรรคมาตั้งแต่ปี 2544 ผ่านการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค และหลายครั้งก็มีการต่อสู้กันหนัก แต่ในอดีตไม่มีสื่อสังคมออนไลน์ ไม่มีการแสดงออกหรือเผยแพร่แล้วทำให้ผู้ติดตามพรรคนำไปขยายความได้มากเหมือนในปัจจุบัน อย่างในยุคที่เรียกว่าประชาธิปัตย์ผลัดใบจะมีกลุ่มของ บัญญัติ บรรทัดฐาน กับกลุ่มของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ท้ายที่สุด บัญญัติ ได้รับชัยชนะแต่ในพรรคก็กลับมาสมัครสมานสามัคคี เดินหน้าทำงานกันได้
ต่อมาในยุคของ อภิสิทธิ์ ซึ่งต้องการทำให้มีความเป็นเสรีประชาธิปไตยมากขึ้น มีการปรับระบบการเลือกหัวหน้าพรรคเป็นแบบไพรมารี ก็มีการแข่งขันกับ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม (ปัจจุบันอยู่กับพรรคไทยภักดี) ยุคนั้นมีการใช้เครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ไปหยั่งเสียงประชาชน ก็มีข้อถกเถียงกันพอสมควร คนชนะอาจถูกกล่าวหาว่าเอาเปรียบบ้าง ไม่เป็นธรรมบ้าง ช่วงนี้ก็เริ่มเกิดกระบวนการว่าเมื่อแพ้แล้วก็ลาออกจากพรรคไป
“ผมว่านี่เป็นการต่อสู้ ถ้าเรามองให้เห็นความเป็นประชาธิปไตยมันคือข้อดี การแข่งขันคือข้อดี แต่คราวนี้ต้องดูว่าเราทำใจได้แค่ไหน เมื่อถ้าเกิดว่าคนที่เรารักที่เราชอบแข่งขันแล้วเกิดไม่ได้ เราจะทำอย่างไร ถ้าเราแสดงออกโดยการยอมรับก็รอโอกาสในครั้งต่อไปมันก็จะอยู่ได้ พูดง่ายๆ การเลือกตั้งแบบนี้ก็จะอยู่ได้ แต่ถ้าเกิดว่าวันนี้พอมันมีโลกโซเชียลก็กระหน่ำ กองเชียร์ต่างคนต่างเชียร์ต่างคนต่างกระหน่ำ ก็กลายเป็นว่าเป็นความบาดหมาง ผู้แพ้เองก็อาจรู้สึกว่ารับไม่ได้ พอรับไม่ได้มันก็ต้องอาจมีการเดินออกจากพรรคไป เลือดไหลออกไป” นราพัฒน์ กล่าว
นราพัฒน์ ย้ำว่า “สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ เพียงแต่หากว่าหลายคนไม่อยากให้บรรยากาศหรือสิ่งที่เป็นจุดแข็งของพรรคประชาธิปัตย์ นั่นคือการเลือกหัวหน้าพรรค กลายเป็นสิ่งที่จะทำลายพรรค เราจำเป็นต้องตกลงว่ามีการแข่งขันต้องรู้แพ้-รู้ชนะ-รู้อภัย ทำความเข้าใจและก้าวเดินต่อไปด้วยกัน” และ “รอโอกาสต่อไปเพราะไม่มีใครที่จะอยู่ยั้งยืนยงได้” อย่างในทางการเมือง 4 ปียังเลือกตั้งกันทีหนึ่ง ในพรรคก็เช่นกัน เลือกตั้งกันทุก 4 ปี แต่การเลือกตั้งก็อาจมาเร็วหากคนที่ดูแลพรรคนำพาพรรคไม่ประสบความสำเร็จแล้วแสดงสปิริตลาออกก็จะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
จึงอยากให้ใจเย็นๆ ให้โอกาสผู้ชนะได้ทำงาน หากไม่ดีเดี๋ยวก็อยู่ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนกันอีกส่วนประเด็นที่ เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนล่าสุด ถูกตั้งคำถามเนื่องจากก่อนหน้านี้ประกาศว่าจะวางมือทางการเมือง แบบนี้เข้าข่ายกลับคำหรือไม่ รวมถึงที่มีกระแสข่าวว่านักการเมืองในกลุ่มของนายเฉลิมชัย ไปพบกับ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกมองว่ามีอิทธิพลต่อ พรรคเพื่อไทย ทำให้คนอีกกลุ่มในพรรคประชาธิปัตย์กังวลเรื่องจุดยืน ประเด็นนี้ตนขอชี้แจงว่า เรื่องทำนองเดียวกันในอดีตก็เคยมีเพียงแต่ไม่ได้ถูกนำมาเปิดเผย
“การเจรจาหรือการพูดคุยเข้าร่วมรัฐบาลในยุค เสธ.หนั่น (พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์) ยุคท่านสุเทพ (สุเทพ เทือกสุบรรณ) ในยุคที่ท่านสุเทพไปดึงกลุ่มของคุณเนวิน (เนวิน ชิดชอบ) ในขณะนั้นที่มีการเปลี่ยนรัฐบาล ผมเชื่อว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องการเมืองที่มันมีการพูดคุยเจรจากันได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด เป็นนักการเมืองก็อยากทำงานให้ประชาชน การอยากจะเป็นรัฐบาล ผมเชื่อว่านักการเมืองก็ทุกคนอยากเป็นรัฐบาล แต่อาจจะเป็นได้หรือไม่ได้ก็อยู่ที่เงื่อนไข ถ้าเป็นไม่ได้ท่านก็มาทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างมีประสิทธิภาพ”
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุ
นราพัฒน์ ยังกล่าวอีกว่า ในอดีตที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์เมื่อทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านก็ทำได้อยู่แล้ว เกิดความเกรงขามน่ากลัว พอเป็นฝ่ายรัฐบาล ในช่วงวิกฤตเช่น วิกฤตต้มยำกุ้ง วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ก็เรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์มาดังนั้นการเมืองมันเป็นกระแส เป็นช่วงเวลา มันไม่ได้เป็นสูตรสำเร็จ เลือกตั้งแล้วคนนี้เป็นรัฐบาล คนนี้เป็นฝ่ายค้าน อยู่ที่เงื่อนไขในการพูดคุย หากเป็นประโยชน์กับประชาชน หลักการแนวทางไปด้วยกันได้
เช่น กรณีที่ พรรคก้าวไกล ซึ่งได้ที่นั่ง สส. มาเป็นอันดับ 1 หากมาชวนพรรคประชาธิปัตย์ร่วมรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ก็จะต้องพิจารณา แต่ก็ต้องมีเงื่อนไข อาทิ ต้องไม่แก้ไขหรือยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือหากเป็นกรณีพรรคเพื่อไทยส่งเทียบเชิญมา พรรคประชาธิปัตย์ก็มีกระบวนการ คือการนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการบริหารพรรคและ สส. ของพรรค เพื่อหาข้อสรุปว่าจะร่วมรัฐบาลหรือไม่ หากร่วมจะต้องมีเงื่อนไขหรือไม่ และหากมีเงื่อนไขจะมีอย่างไรบ้าง เป็นต้น
รวมถึงตอนไปร่วมรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ไปร่วมภายใต้เงื่อนไขดังนั้นเรื่องการจะไปร่วมรัฐบาลกับใครไม่ใช่ประเด็น แต่ที่เป็นประเด็นเพราะมีผู้สนับสนุนพรรคซึ่งก็มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนั้น หรืออย่างตอนที่เกิดกลุ่ม กปปส. ก่อนจบลงด้วย พล.อ.ประยุทธ์ ทำรัฐประหารยึดอำนาจ พรรคประชาธิปัตย์ก็อาจมีความคิดกันว่าจะให้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ดีนะแข็งแรงดี ก็มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย กระทั่งเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เข้าสู่การเมือง ก็มีคำถามว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่รักษาอุดมการณ์ ไม่ต่อต้านเผด็จการแล้วหรือ
“ผมบอกว่าก็ไม่ใช่อีก เพียงแต่เราไม่สามารถใช้โซเชียลหรือสื่อสารอธิบายได้เราเป็นพรรคเดียวมั้ง หรือหลายๆ พรรคผมไม่แน่ใจ แต่ว่าอย่างน้อยๆ คุณอภิสิทธิ์ได้ประกาศชัดเจน เราไม่รับรัฐธรรมนูญปี 2560 เห็นไหม เพราะฉะนั้นเราก็ต่อสู้กับระบบเผด็จการที่ประชาธิปไตยไม่เต็มใบ แต่ทำอย่างไรได้ ประชามติผ่าน พี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ลงมติรับรัฐธรรมนูญ เราก็เดินตามรัฐธรรมนูญ ฉะนั้นเราก็ไปอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ สิ่งเหล่านี้ผมก็คิดว่าเราน่าจะสามารถอธิบายกับประชาชนได้ว่าเราทำตามรัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่ใจเราไม่เห็นด้วย เงื่อนไขที่ในการเข้าร่วมถึงบอกว่าต้องแก้รัฐธรรมนูญ” นราพัฒน์ กล่าว
จากการเลือกหัวหน้าพรรคที่บรรยากาศดุเดือดกระทั่งจบลงด้วยภาพของรอยร้าวที่ปริแตก และก่อนหน้านั้นยังเลื่อนมาถึง 2 หนเพราะองค์ประชุมไม่ครบ นราพัฒน์ ย้ำถึงความสำคัญของ “วินัย” กับการประคับประคองให้พรรคที่มีความเป็นประชาธิปไตยสามารถผ่านพ้นสถานการณ์ต่างๆ ไปได้เช่น ในยุคที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นหัวหน้าพรรค และตนเป็นรองเลขาธิการพรรค ตนได้ทักท้วงไปว่าอย่าเผยแพร่คลิปวีดีโอที่พาดพิง พล.อ.ประยุทธ์ เพราะต้องยอมรับว่าสังคมภายนอกยังมีความรู้สึกที่ดีกับ พล.อ.ประยุทธ์ รวมถึงเคยร่วมต่อสู้กับ ทักษิณ ด้วยกันมา
โดยในเวลานั้นเป็นการพูดคุยกันภายใน แต่สุดท้าย อภิสิทธิ์ หัวหน้าพรรคในเวลานั้นก็ปล่อยคลิปดังกล่าวออกมา ซึ่งตนกับทีมงานแม้ไม่พอใจแต่ก็ไม่เคยออกมาวิพากษ์วิจารณ์หัวหน้าพรรคต่อสาธารณะ ทั้งที่รู้ว่าการตัดสินใจของท่านอภิสิทธิ์ ณ ขณะนั้น ทำให้ผู้สมัคร สส.ในพื้นที่ต่างๆ ทำงานได้ลำบาก แน่นอนผลการเลือกตั้งก็ชี้ให้เห็นจริงๆ แต่ก็ไม่มีใครตำหนิการตัดสินใจของหัวหน้าพรรค เพียงแต่มองเป็นบทเรียน
หรือต่อมา เมื่อพรรคเลือก จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เป็นหัวหน้าพรรค แน่นอนเวลานั้นกลุ่มของตนประกาศชัดเจนว่าสนับสนุน พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (ปัจจุบันเป็นหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ) แต่เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาว่าโดยเลือก จุรินทร์ ตนก็ไปทำงานให้โดยเป็นรองหัวหน้าพรรคสาขาภาคเหนือ แต่ต่อมาก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อีกว่า จุรินทร์ ไม่มีบารมีพอจะสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ได้ และมีความพยายามจะปลดออกจากตำแหน่ง
ซึ่งเรื่องนี้ตนก็ให้ความเห็นว่าทำแบบนี้แล้วพลังจะมาได้อย่างไร แถมฝ่ายที่ทำยังเป็นฝ่ายที่เคยสนับสนุน จุรินทร์ เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อีกต่างหาก ในทางกลับกัน พวกตนทั้งที่ไม่ใช่ฝ่ายที่ลงคะแนนให้ แต่ก็พร้อมสนับสนุนการทำงานตลอดมา และหากสุดท้ายพรรคไม่ประสบความสำเร็จหัวหน้าพรรคก็ต้องรับผิดชอบซึ่งท่านจุรินทร์ก็แสดงความรับผิดชอบ
“การอยู่ในพรรคที่มีระบบประชาธิปไตยในพรรค ความมีวินัยสำคัญมาก การที่ออกไปพูดอะไรแล้วทำให้พรรคเสียหายผมว่าอันนี้ทำลายพรรคอย่างมาก ผมถึงบอกว่าผมก็ยังเดินหน้าสนับสนุน อะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตก็ไปว่ากัน เพราะว่าเราสามารถเดินหน้าต่อไปได้ไม่ว่าใครจะเป็นผู้นำก็ตาม เราต้องให้เกียรติเขาเช่นเดียวกับการเลือกตั้งที่ผ่านมา ผมก็บอกตรงๆ ว่าอยากจะลงมาเป็นหัวหน้า แล้วก็จะเอาเรื่องเหล่านี้มาปรึกษาหารือกับผู้หลักผู้ใหญ่ ทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่ต่างๆ ใช้เวลาปีหนึ่งมาทบทวนตัวเองกันไหม
มาตั้งกฎกติกา ระเบียบข้อบังคับกันไหมว่าสิ่งที่จะทำลายพรรคมันคืออะไร การออกไปแสดงคำพูดของเราต่อสื่อสาธารณะถึงแม้มันจะเป็นความคิดของเราแต่ถ้ามันส่งผลกระทบกับพรรคแล้วทำให้พรรคอ่อนแอลงหรือสร้างความแตกแยกให้ในพรรค อันนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ควรหรือไม่ควรจะต้องมีคณะกรรมการมาพิจารณาไหมไม่เช่นนั้นก็ปล่อยพูดกันเลอะเทอะ พูดกันเสร็จแล้วก็ไม่รับผิดชอบ แน่นอนแต่ละท่านมีแฟนคลับ ท่านอาจจะพูดแล้วได้คะแนนจากแฟนคลับ แต่พรรคเสีย ภาพรวมของพรรคเสีย” นราพัฒน์ กล่าวย้ำ
นราพัฒน์ เล่าต่ออีกว่า อย่างในวันประชุมใหญ่ของพรรค ซึ่ง วทันยา บุนนาค (มาดามเดียร์) เสนอแนะแนวทางนำพาพรรคประชาธิปัตย์ให้กลับมาอีกครั้ง ตนก็บอกว่านั่นคือแนวทางที่ถูกและควรจะเกิดขึ้น เพียงแต่ “วันนี้ภายในบ้านยังไม่สงบ..แล้วเราจะออกไปรบกับใคร” ทั้งหมดนี้คือเรื่องที่ตนอยากสะท้อนให้ผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์รวมถึงประชาชนทั่วไปเข้าใจว่า การสร้างพรรคการเมืองที่มีความเป็นประชาธิปไตยในพรรคสูงมากไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้ลงตัวได้ง่ายๆ
ส่วนคำถามที่ว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงวันที่ 7-8 ธ.ค. 2566 ที่มีข่าวว่า 21 สส. ของพรรคประชาธิปัตย์ จะไปเชิญ เฉลิมชัย ศรีอ่อน กลับมาเป็นหัวหน้าพรรค ทั้งที่ก่อนหน้านั้น มีผู้สมัครชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรค 2 คน คือ นราพัฒน์ แก้วทอง กับ วทันยา บุนนาค เรื่องนี้ นราพัฒน์ ให้ความเห็นว่า อาจเป็นความกังวลของ สส. ว่าประวัติศาสตร์อาจซ้ำรอย ขณะที่กลุ่มซึ่งต้องการความเปลี่ยนแปลง ต้องการให้มีอะไรใหม่ๆ มีคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานขับเคลื่อนพรรค
อนึ่ง ข้อกล่าวหาที่มีต่อ เฉลิมชัย ว่าไม่ใช่คนประชาธิปัตย์บ้าง ไม่ได้ห่วงพรรคแต่ห่วงตัวเองบ้าง ก็มีคำถามกลับเช่นกันว่า เฉลิมชัย ไม่ใช่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์หรือ ไม่สามารถเติบโตในพรรคไม่สามารถเป็นกรรมการบริหารพรรค รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าพรรคในอนาคตได้หรือ ซึ่งทุกคนก็มีโอกาสและมีทางเลือก ดังนั้น สส. กลุ่มนั้นซึ่งเป็น สส. ที่ต่อสู้มาอาจมีการพูดคุยกันและได้ข้อสรุปเป็นการเข้าชื่อไปเชิญท่านมาเป็นหัวหน้าพรรค เพราะเป็นศูนย์รวมจิตใจและไม่อยากให้เกิดภาพ สส. ในพรรคแตกแยกกัน และยืนยันว่าท่านไม่รู้เรื่องมาก่อน
“ท่านตั้งใจที่จะไม่รับตำแหน่ง แล้วท่านก็เป็นคนมอบให้ผมคุยกัน บอกไปช่วยพรรคหน่อย ฉะนั้นครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ก็เป็นชื่อผมมาตลอด แต่พอครั้งที่ 3 มันเกิดกระบวนการหลายๆ อย่างซึ่งก็ต้องยอมรับว่าจะถูกจะผิดจะเป็นสิ่งที่คนในพรรคอยากให้เกิดขึ้น แน่นอนใครก็อยากเข้ามาเป็นกรรมการบริหาร ก็อาจจะมีวิธีการอะไรที่แตกต่างกัน ผมว่ามันเป็นเรื่องปกติ แต่ความกังวลของ สส. เขาอาจจะคิดอะไรของเขาซึ่งผมไม่ทราบ ก็ไปพบท่านเฉลิมชัยพูดง่ายๆ บีบบังคับให้ท่านรับตำแหน่ง
แล้วก็มาบอกผมว่าตั้งใจครั้งแรก ครั้งที่ 2 ก็จะช่วยผลักดันให้ผมขึ้นมา เพื่อที่จะมีเวลาในการทำงานปีกว่าๆ เพื่อทำให้ทุกอย่างมันลงตัว แล้วก็บอกว่าเที่ยวนี้ขอ อยากให้พี่เฉลิมชัยมาทำหน้าที่ตรงนี้ ทำให้ทุกอย่างมันนิ่งและสงบ ผมก็บอกผมไม่ได้ติดใจ ถ้ามีแนวทางเดียวกันในการพัฒนาปรับปรุงพรรค แล้วก็สร้าง ผมใช้คำว่า One Democrat ก็คือหนึ่งเดียวกันให้ได้ ผู้หลักผู้ใหญ่หลายท่าน ท่านอภิสิทธิ์เองก็บอกว่าจะต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน ต้องมีความสามัคคี มีเอกภาพ ฉะนั้นถ้าเกิดท่านเฉลิมชัยมาแล้วเอกภาพมันเกิดขึ้นผมก็พร้อมที่จะถอย” นราพัฒน์ ระบุ
นราพัฒน์ ยืนยันว่า ในตอนแรก เฉลิมชัย ไม่ได้อยากรับตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพราะมีแต่ทางลบไม่มากก็น้อย แต่ตนกับคณะ สส. ก็ได้ให้เหตุผลไปว่า “ถ้าท่านรับวันนี้อาจโดนตำหนิ แต่หากทำให้พรรคกลับมาได้ มีเอกภาพ มีกฎกติกาในพรรคที่โปร่งใสและรับกันได้ รวมถึงทำให้คนรุ่นใหม่เข้ามาในพรรคและเห็นโอกาสเติบโต จากเสียงตำหนิก็จะกลายเป็นคำขอบคุณ” และตนรวมถึงคณะ สส. 21 คน ก็มั่นใจว่าท่านทำได้
เพราะท่านมีกำลังในหลายๆ เรื่อง รวมถึงได้รับความเคารพจาก สส. เห็นได้จาก สส. 21 จาก25 คน ลงชื่อกันไปเชิญท่านมา แสดงถึงความมีเอกภาพและท่านก็มีบารมี ซึ่งหากวันนั้นการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค แล้วเป็นบุคคลอื่นหรือแม้แต่หากเป็นตนที่ได้รับชัยชนะ ตนก็ยังไม่มั่นใจว่า สส. จะเดินตามหรือเปล่า เช่น สมมุติตนเป็นหัวหน้าพรรค
บอกอภิปรายในสภาฯ เน้นเรื่องนี้ หาก สส. ไม่เอาด้วยกับตนจะทำอย่างไร แต่หากเป็นคนที่ได้รับความนับถือจาก สส. บอกว่าพรรคจะไปทางนี้เชื่อว่า สส. ก็จะเดินตาม
หมายเหตุ : สามารถติดตามรายการ “แนวหน้า Talk” ดำเนินรายการโดย บุญยอดสุขถิ่นไทย ได้ผ่านทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ช่วงหัวค่ำโดยประมาณ!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี