“แนวหน้า Talk” ติดตามความเคลื่อนไหวของการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ของ พรรคประชาธิปัตย์ มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงก่อนถึงวันเลือกตั้ง 9 ธ.ค. 2566 ไปจนถึงหลังจากนั้นที่ผลปรากฏว่า เฉลิมชัย ศรีอ่อน ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนล่าสุด โดยในช่วงที่ผ่านมา มีผู้เกี่ยวข้องทั้งสมาชิกพรรคในปัจจุบัน รวมถึงอดีตสมาชิกระดับอาวุโสของพรรคมาร่วมให้มุมมองในรายการรวมแล้วหลายท่าน
ซึ่งอย่างที่ทราบกันดีว่า การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) 2 หนล่าสุด คือปี 2562 และ 2566 พรรคประชาธิปัตย์ได้ สส. ต่ำเป็นประวัติการณ์ นำไปสู่ข่าวความขัดแย้งภายในพรรคอย่างต่อเนื่อง และมีสมาชิกระดับ “บิ๊กเนม” เคยได้รับเลือกตั้งเป็น สส. ตัดสินใจลาออกจากพรรคไปหลายคน และแม้กระทั่งในวันที่ 9 ธ.ค. 2566 ระหว่างที่มีการประชุมใหญ่ของพรรค บรรดาคอการเมืองที่ติดตามข่าวสารคงไม่คิดว่าจะได้เห็นอดีตหัวหน้าพรรคอย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ดู “มาดนิ่ง” มาตลอดมีสีหน้าเคร่งเครียด ในจังหวะที่ขอคุยกับ เฉลิมชัย แบบตัวต่อตัว
“ติ๊งต่าง” กาญจนี วัลยะเสวี (อดีต) “แม่ยก” พรรคประชาธิปัตย์ มาบอกเล่าบรรยากาศที่เกิดขึ้นในวันนั้นกับรายการ แนวหน้า Talk ในตอนที่ออกอากาศเมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2566 ว่า พรรคประชาธิปัตย์ยุคหลังๆ ได้ สส. น้อยลง เช่น การเลือกตั้งครั้งล่าสุดได้ สส. เพียง 25 คน จึงมีความพยายามจากบางกลุ่มเรียกร้องให้แก้ไขกฎข้อบังคับของพรรคเรื่องการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค โดยขอให้เป็น “1 คน 1 เสียง (One Man One Vote)” เพราะสถานการณ์ปัจจุบันไม่เหมือนกับในอดีตที่พรรคเคยได้ สส. หลักร้อยคน แต่ก็ไม่สำเร็จไม่ยอมไม่ถอยให้กัน จึงเกิดปัญหาขึ้น
ส่วนกรณี เฉลิมชัย ศรีอ่อน ซึ่งเพิ่งได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนล่าสุดเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2566 ไม่ได้มีการเสนอชื่อมาตั้งแต่ต้น ตนมองว่าเป็นเรื่องแปลก ทำไมอยู่ดีๆคุณเฉลิมชัยเกิดฮึดสู้ขึ้นมา รู้สึกโกรธ ชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคหรือไม่ หรืออยากจะทำอะไร หรือเคยไปคุยกับใครไว้หรือไม่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีการเปิดทางให้ นราพัฒน์ แก้วทอง โดยมี “มาดามเดียร์” วทันยา บุนนาค เป็นคู่แข่งในการชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรคครั้งนี้
แต่สุดท้ายก็มีข้อความสนทนาทางไลน์หลุดออกมา เนื้อหาทำนองต้องสกัดกั้นไม่ให้ วทันยา ลงชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรค ซึ่งตนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำถึงขนาดนั้น เพราะแม้มาดามเดียร์จะผ่านกฎเรื่องต้องสังกัดพรรคมาไม่น้อยกว่า 5 ปี แต่ตนก็ไม่เชื่อว่าจะได้รับชัยชนะ เพราะเหมือนทุกอย่างมีการจัดเตรียมไว้หมดแล้วในการโหวตให้กับฝ่ายของคุณเฉลิมชัย ดังนั้นสู้ทำให้ภาพที่ปรากฏต่อสาธารณชนดูมีการแข่งขันในพรรคอย่างแท้จริง คืออยากให้ วทันยา ได้ลงสมัคร แล้วค่อยไปว่ากันในการแข่งขัน
อีกด้านหนึ่ง กับกรณีที่คุณชวนเสนอชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้ง ขณะที่อีกฝั่งก็เสนอชื่อคุณเฉลิมชัย ตนก็งงว่าเกิดอะไรขึ้นเรื่องคุณเฉลิมชัยจะลงชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรคด้วยตนเอง ซึ่งจริงๆ ก็มีข่าวออกมาแล้ว 1-2 วันก่อนหน้าวันประชุมใหญ่ของพรรค แต่ในส่วนของคุณอภิสิทธิ์ตนไม่งง เพราะคุณชวนยืนยันว่าต้องเป็นคุณอภิสิทธิ์เพราะเป็นคนมีศักยภาพ และเชื่อว่าจะมาปฏิรูปพรรคให้เดินไปข้างหน้าได้ ดังนั้นจึงมีสิทธิ์เสนอ กระทั่งเมื่อคุณอภิสิทธิ์ ขอพักการประชุมเพื่อพูดคุยกับคุณเฉลิมชัยตัวต่อตัว ตนก็เชื่อว่าผลคงออกมาเป็นไปในทางลบ
“คุณอภิสิทธิ์อาจไปถามคุณเฉลิมชัยหรือเปล่าว่าตกลงจะเอาตำแหน่งนี้แน่นะ จะไปร่วมรัฐบาลหรือเปล่า หรือคุณเฉลิมชัยหยามคุณอภิสิทธิ์มากไปหรือเปล่า หรืออาจจะผมไม่มีอะไรจะพูดกับคุณหรือเปล่า เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมารู้มาเลยว่าคุณเฉลิมชัยไม่เคยเปิดโอกาสให้คุณอภิสิทธิ์ได้คุย” กาญจนี กล่าว
ประการต่อมา กับคำชี้แจงของ เฉลิมชัย ที่บอกว่าตนเองไม่มีตำแหน่งใดๆ ในพรรค จึงไม่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ เรื่องนี้ตนมองว่าเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ได้ เพราะคุณเฉลิมชัยอยู่เบื้องหลัง สส. อยู่กับคุณเฉลิมชัยหมด และไม่เคยเปิดโอกาสให้คุณอภิสิทธิ์ได้เจรจา ตนเชื่อว่าหากได้เจรจาคงเคลียร์กันได้มากกว่านี้ จึงถามว่าทำไมต้องปิดประตูตาย ส่วนกรณีที่คุณอภิสิทธิ์ประกาศลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์หลังพูดคุยกับคุณเฉลิมชัย ตนก็รู้สึกใจหาย แทนที่จะมีคนที่มีศักยภาพและวิสัยทัศน์ที่ดีช่วยงานพรรค
แต่ก็เข้าใจว่าอยู่ก็ยากลำบาก เพราะไม่รู้จะคุยอะไรกัน คุณเฉลิมชัยก็ไม่เคยเปิดโอกาสให้อยู่แล้วแถมเหมือนมองคุณอภิสิทธิ์เป็นศัตรูด้วยซ้ำ คือไม่เอาคุณอภิสิทธิ์เลย สุดท้ายเมื่อมีการเลือกกันในพรรคจนได้หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ตนมองว่าเหมือนเป็นการพาไปลงเหว เพราะเป็นฝ่ายของคุณเฉลิมชัยทุกคน ไม่มีฝ่ายของคุณชวนหรือคุณอภิสิทธิ์เลย
เช่น ไม่มีทั้ง องอาจ คล้ามไพบูลย์, เกียรติ สิทธีอมร, คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช บุคคลเหล่านี้ไม่ได้รับการแต่งตั้งใดๆ เลย อย่างคุณเกียรติก็เป็นคนที่มีศักยภาพ หรือคุณองอาจก็ทำงานแทบตายให้กับพรรค หรือแม้แต่ มาดามเดียร์ ที่ก็ได้พูดคุยกับคุณเฉลิมชัยมาตลอด ก็ไม่ได้รับการแต่งตั้งเช่นกัน ทั้งที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพและมีวิสัยทัศน์ ซึ่ง กาญจนี กล่าวว่าจากทั้งหมดนี้ท้ายที่สุดก็ทำให้ตนตัดสินใจลาออกจากพรรค โดยใช้เวลาคิดเพียงคืนเดียว เพราะอยู่ไปก็เหมือนตนไปเห็นด้วยกับเขา แต่ก็พร้อมจะกลับหากวันหนึ่งพรรคไม่ได้ทำอะไรอย่างในเวลานี้
อีกประเด็นที่มีการจับตาอย่างมากตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาคือ “พรรคประชาธิปัตย์จะไปจับมือร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่?” เรื่องนี้ อดีตแม่ยกของพรรค มองว่า หากทำจริงก็เท่ากับ เฉลิมชัย ศรีอ่อน ตระบัดสัตย์ เพราะก่อนหน้านั้นไม่นานนักคุณเฉลิมชัยเคยพูดว่า “พรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่อะไหล่ของใคร” ที่สำคัญคือ “จะไปในฐานะอะไร?” สุดท้ายก็เข้าทางคนที่ต้องการทำลายพรรคประชาธิปัตย์อยู่แล้ว และแม้จะไม่ใช่เวลานี้ เพราะสภาผู้แทนราษฎรมีวาระ 4 ปี ผ่านไป 1-2 ปีค่อยเข้าร่วมรัฐบาล สำหรับตนก็ยังรับไม่ได้
“อยากให้ปฏิรูปพรรคเสียก่อน ไปก็เหมือนเอาเนื้อหนูไปแปะเนื้อช้างอีก เกิดขึ้นอีกครั้งแล้วไม่เข็ดหรือ? จาก 50 เหลือ 25 ตอนนี้มันจะเหลือถึง 10 ไหม? สู้เราเข้ามาปรับปรุงพรรค ทำพรรคให้มันดีขึ้น หาคนที่มีศักยภาพมาทำแล้วก็ค่อยโตขึ้นมาใหม่ ตอนนี้เรียกกำลังหัดคลานแล้วประชาธิปัตย์” กาญจนี ระบุ
สุดท้ายเมื่อถามถึง “ความเชื่อมั่นต่อ เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่” กาญจนี ก็ตั้งคำถามย้อนกลับไปว่า “คุณเฉลิมชัยมั่นใจว่าตนเองมีศักยภาพเพียงพอหรือ?” เพราะดูจากการตั้งทีมผู้บริหารพรรคก็เห็นแล้วว่าทำได้แค่ไหน จริงอยู่ที่บอกว่ามาตามกติกาของพรรค แต่คำถามคือจะนำพรรคได้หรือไม่? อย่าง สส. ที่มาก็ “โนเนม” ทั้งนั้น มีไม่กี่คนที่เป็นรุ่นเก่า รวมถึงคุณเฉลิมชัยมีวิสัยทัศน์เพียงพอหรือไม่? แต่ก็จะขอรอดู ตนไม่ได้ทิ้งพรรค เพียงแต่ขอออกมาอยู่ข้างนอกก่อน
ส่วนใครจะตำหนิ ชวน หลีกภัย ที่อยู่กับพรรคประชาธิปัตย์มานานแต่กลับปล่อยให้พรรคเดินมาถึงจุดนี้ได้ ตนก็ต้องบอกว่า คุณชวนเป็นเพียงประธานที่ปรึกษาพรรคซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งที่มีอำนาจใดๆ ภายในพรรค และที่ผ่านมาท่านก็พยายามท้วงติงแล้วหลายครั้งแล้วแต่ไม่มีใครฟัง แต่ที่แน่ๆ หากคุณเฉลิมชัยยังยืนยันจะทำงานในตำแหน่งหัวหน้าพรรคแบบนี้ ตนเชื่อว่าในอนาคตพรรคประชาธิปัตย์คงได้ สส. ต่ำลงเรื่อยๆ อย่างมากก็เพียง 10 คนเท่านั้น
“ถ้าคุณเฉลิมชัยคิดจะร่วมรัฐบาล (เพื่อไทย) สมาชิกพรรคทั่วประเทศไม่น่าจะยอม ถ้าเกิดเขาลุกฮือมาปิดพรรคว่าไงล่ะ? มาสักหมื่นปิดไม่ให้คนเข้าพรรค มีคนพูดแล้วนะสมาชิกพรรค เขาก็ไม่ยอม หวังว่าจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านที่ดี แล้วก็ทำหน้าที่ที่ควรจะต้องทำ ไม่ใช่ไปสนับสนุนพรรครัฐบาล หวังว่าจะเห็นแก่พรรค แล้วก็เอาคนที่มีศักยภาพในพรรค คนเก่าๆ เข้ามาร่วมงานด้วย มาเป็นที่ปรึกษาด้วย” กาญจนี กล่าว
อย่างที่ทราบกันดีว่า กาญจนี วัลยะเสวี ถูกให้ฉายาในสื่อว่าเป็นแม่ยกของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่ง กาญจนี เล่าว่าสนใจการเมืองตั้งแต่ยังเด็ก เพราะที่บ้านเวลากินข้าวร่วมกัน เปิดโทรทัศน์ดูข่าวคุยกันเรื่องการเมือง พ่อของตนก็ชอบการเมืองและชอบพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนตนก็เป็นแฟนคลับพรรคประชาธิปัตย์มา 30 ปี ไม่เคยไปเชียร์พรรคอื่น เพราะเป็นพรรคที่มีความเป็นสถาบันการเมืองมากที่สุดแล้วในประเทศไทย หมายถึงไม่มีเจ้าของพรรค ทุกคนมีสิทธิ์มีเสียงและมีความคิดเป็นของตนเอง แตกต่างจากพรรคอื่นที่หากเจ้าของพรรคสั่งอย่างไรก็ต้องไปอย่างนั้น
โดยหากถามว่าชอบช่วงจังหวะไหนของพรรคประชาธิปัตย์ตนยกตัวอย่างช่วงที่ ชวน หลีกภัย เป็นหัวหน้าพรรค เพราะตัดสินใจได้เด็ดขาด หรือช่วงที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งทำงานร่วมกับ กรณ์ จาติกวณิช ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แต่เมื่อเห็นว่าพรรคมีปัญหาก็ต้องแสดงความเห็นติติงกันบ้าง เช่น ช่วงที่ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เป็นหัวหน้าพรรคแล้วนำพรรคไปร่วมรัฐบาลกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะเหมือนเอาเนื้อหนูไปแปะเนื้อช้าง ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น สู้เป็นฝ่ายค้านดีกว่าหรือไม่
ส่วนการแสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กซึ่งก็มีคนติดตามมากพอสมควร ปกติตนนึกอะไรได้ก็จะเขียน อะไรที่ไม่ดีก็ต้องเขียนติง แต่บางครั้งก็เห็นผลสะท้อนกลับมาเช่นกัน เช่นก่อนหน้านี้เคยมียอดติดตามถึงเกือบ 1 แสน แต่เมื่อตนวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ ยอดก็ตกลงมาเหลือ 2 หมื่น ซึ่งตอนแรกตนเอาใจช่วย พล.อ.ประยุทธ์ และคาดหวังทั้งการปฏิรูปตำรวจและปฏิรูปการเมือง แต่สุดท้ายก็ไม่เกิดขึ้น ซ้ำร้ายยังทำให้เกิดพรรคการเมืองบางพรรคที่มีทัศนคติไม่ดีต่อสถาบันหลักขึ้นอีกต่างหาก
ซึ่งคนที่เชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเพราะกลัวระบอบทักษิณ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ชี้แจงให้คนรู้เลยว่าระบอบทักษิณเป็นอย่างไรบ้าง ก็เลยผิดหวัง โดยเฉพาะในปีที่ 4 เป็นต้นมาที่ พล.อ.ประยุทธ์ เปลี่ยนสถานะเป็นนักการเมืองภายใต้พรรคพลังประชารัฐ ก็รู้สึกว่าไม่ใช่แล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านั้นตนเขียนเชียร์มาตลอด และเรื่องนี้เองที่ทำให้ยอดติดตามลดลง แต่ตนก็อ่านความคิดเห็นต่างๆ ด้วยตนเอง ไม่ได้หาใครมาเป็นแอดมินช่วย
“เราตั้งกลุ่มในเฟซบุ๊กด้วยนะ เช่น การเมืองภาคประชาชน เป็นแอดมินเองด้วย แล้วก็ให้กำลังใจอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แล้วก็ ชาวไทยหัวใจรักสงบ ตั้งเอง 3 กลุ่ม อย่างการเมืองภาคประชาชนก็ 8 หมื่นกว่าคน อภิสิทธิ์เวชชาชีวะ ก็ 2 หมื่น ชาวไทยหัวใจรักสงบ ก็ 4,000 ถ้าเขาด่าการเมืองคิดต่างก็ไม่ลบนะ แต่ถ้าด่าหยาบๆ หรือไปหมิ่นประมาทคนอื่น - พรรคการเมืองอื่นก็ลบ” กาญจนี ระบุ
จากเรื่องการเมืองมาถึงชีวิตส่วนตัวกันบ้าง “ติ๊งต่าง-กาญจนี” เล่าว่า ตนเป็นคนกรุงเทพฯ เรียนหนังสือชั้นประถมที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร และชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนปานะพันธุ์วิทยา ในพระบรมราชูปถัมป์ แต่ในระดับอุดมศึกษา เนื่องจากในวันสอบเอ็นทรานซ์ตนป่วยหนักไม่สามารถอยู่สอบได้จนครบทุกวิชา จึงต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่ด้วยความขยันจึงทำให้จบปริญญาตรีจาก 2 คณะ คือรัฐศาสตร์และมนุษยศาสตร์
ทั้งนี้ ผู้ที่เรียน ม.รามคำแหง จะทราบว่าไม่ต้องเข้าเรียนในห้องเรียนก็ได้ แต่ กาญจนี กล่าวว่า ตนไปเข้าเรียนเป็นประจำ รวมถึงไปติวตามศูนย์ติวเตอร์ที่ตั้งอยู่หน้ามหาวิทยาลัยด้วย เมื่อเรียนจบ ป.ตรี ก็แต่งงานมีครอบครัว ต้องดูแลลูกไม่ได้เรียนต่อและไม่ได้ไปทำงานที่ไหน มีลูก 3 คน และปัจจุบันเป็นคุณยายแล้วเพราะลูกแต่งงาน มีหลาน 6 คน อนึ่ง นอกจากจะมีฉายาแม่ยกพรรคประชาธิปัตย์ ยังถูกเรียกว่า “ไฮโซสปอร์ตคลับ” ซึ่ง กาญจนี ขอให้ไปถามสื่อดูว่าที่มาของฉายานี้มาจากไหนเพราะตนก็ไม่ทราบเหมือนกัน และเคยบอกแล้วว่าอย่าเรียกไฮโซแต่ก็ไม่เป็นผล
“ก็ไม่ค่อยชอบ คนบางคนไม่เข้าใจ นึกว่าทำไมว่าตัวเองเป็นไฮโซ บอกเปล่าเลย ไม่ได้ว่าเลย เรียกไฮโซสปอร์ตคลับก็เคยมีเรื่องกับสปอร์ตคลับด้วยนะ เพราะสปอร์ตคลับจะเป็นที่ที่ปลอดการเมือง แต่ตอนหลังเขาก็คงชินแล้ว ไปอยู่ที่สปอร์ตคลับบ่อย อาทิตย์หนึ่งก็ 3-4 วัน ออกกำลังบ้าง นั่งคุยนั่งทานอาหารกับเพื่อนๆ ทำมานานแล้ว”กาญจนี กล่าว
หมายเหตุ : สามารถติดตามรายการ “แนวหน้า Talk” ดำเนินรายการโดย บุญยอด สุขถิ่นไทย ได้ผ่านทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ช่วงหัวค่ำโดยประมาณ!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี