ก่อนหน้านี้ “ทีมงาน นสพ.แนวหน้า” เคยนำเสนอเรื่องราวของ “สระบุรี แซนด์บ็อกซ์ (Saraburi Sandbox)” หรือการที่ จ.สระบุรี ได้รับเลือกให้ทำโครงการนำร่อง “เมืองคาร์บอนต่ำ”เพื่อเป็นตัวอย่างสำหรับ “โรดแมป” ของประเทศไทย ในการตอบโจทย์คำมั่นที่ให้ไว้กับเวทีประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 26 (COP26) ว่าจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) ภายในปี 2050 (พ.ศ.2593) และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 (พ.ศ.2608)
โครงการนี้มีเจ้าภาพหลักคือ สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ในฐานะที่เป็นผู้ประสานงานหลักของหน่วยประสานงานกลางด้านการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (National DesignatedEntity : NDE) ภายใต้กลไกการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Mechanism) ของกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(United Nations Framework Convention on Climate Change : UNFCCC) และได้เข้าร่วมประชุม COP มาอย่างต่อเนื่อง
ในรายงานพิเศษ “สระบุรีแซนด์บ็อกซ์” นำร่อง “เมืองคาร์บอนต่ำ” (หน้า 5 นสพ.แนวหน้า หรือหมวด Likeสาระ ในส่วนของเว็บไซต์ วันอาทิตย์ที่ 22 ต.ค. 2565) กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการ สวอช. อธิบายถึงเหตุผลที่ สวอช. เลือก จ.สระบุรี เป็นพื้นที่นำร่องไว้ว่า เนื่องจากมีภาคส่วนที่เข้มแข็งมากคือ สมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย (TCMA) ที่เป็นผู้ริเริ่มให้เกิดสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ และเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อน เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมปล่อยคาร์บอนลดลง โดยกำหนดใช้ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำในทุกงานก่อสร้างในจังหวัดสระบุรี
ล่าสุดเมื่อวันที่ 12-13 ก.พ. 2567 ที่ผ่านมาสวอช. พาคณะสื่อมวลชน ลงพื้นที่ดูงาน 3 จุดในพื้นที่ จ.สระบุรี ไล่ตั้งแต่ “ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์” SCG แก่งคอย สืบเนื่องจากกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ ในขั้นตอนนำหินปูน (แคลเซียมคาร์บอเนต)เข้าหม้อเผา หรือ Decarbonization จะเป็นกระบวนการที่ปล่อยคาร์บอนมากถึงร้อยละ 50 แต่นอกจากนั้นยังมีกระบวนการอื่นๆ ที่ปล่อยคาร์บอนเช่นกัน อาทิ การใช้ไฟฟ้าซึ่งมาจากถ่านหิน จึงนำมาสู่ความพยายามเปลี่ยนแปลง เช่น หันมาใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ติดตั้งระบบดักจับคาร์บอน การสร้างอาคารจากเครื่องพิมพ์3 มิติเพื่อลดของเสียหรือของเหลือจากการก่อสร้าง เป็นต้น
ศาณิต เกษสุววรณ ที่ปรึกษาสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย กล่าวว่า สระบุรีเป็นที่ตั้งของโรงผลิตปูนซีเมนต์หลายแห่ง จึงมีความเชื่อว่า “หากสระบุรีทำได้..จังหวัดอื่นก็ย่อมทำได้” ขณะเดียวกัน สระบุรี ยังเป็นจังหวัดที่มีครบทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคการท่องเที่ยวและภาคเกษตรกรรม อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายโดยเฉพาะด้านกฎระเบียบ เช่น การติดแผงโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เพราะแม้ จ.สระบุรี จะมีพื้นที่ว่างเปล่าจำนวนมาก แต่หน่วยงานที่รับผิดชอบพื้นที่ก็มีหลายหน่วย อาทิ กรมชลประทาน กรมเจ้าท่า กรมธนารักษ์
ขณะเดียวกัน แม้จะติดตั้งได้แต่ก็ยังมีคำถามอีกว่าผลิตไฟฟ้าแล้วจะขายได้อย่างไร? ดังนั้นทุกฝ่ายจึงต้องทำงานร่วมกัน โดยมีภาครัฐนำและภาคเอกชนช่วยเติมเต็ม หาปัญหาให้เจอแล้วหาทางออกร่วมกัน นอกจากนั้น จ.สระบุรี ตั้งเป้าหมายอยากเป็นตัวอย่างในการใช้ “ปูนรักษ์โลก” หรือ Low Carbon Hydraulic Cement จึงต้องการให้ภาครัฐหากลไกเอื้อต่อการใช้ปูนชนิดนี้ได้อย่างไร
เช่นเดียวกับ รศ.ดร.ณัฐพงศ์ มกระธัช นายกสมาคมคอนกรีตแห่งประเทศไทย (TCA) กล่าวเสริมว่า ในช่วง 10 ปีล่าสุด รัฐบาลผลักดันโครงการก่อสร้างพื้นฐานจำนวนมาก แน่นอนว่าปูนซีเมนต์ถือเป็นวัสดุก่อสร้างสำคัญ ดังนั้นTCMA จึงผลักดันปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก (Hydraulic Cement) ออกมา เพียงแต่ที่ผ่านมาภาครัฐยังไม่รู้จักปูนชนิดใหม่นี้ ยังไม่รู้ว่าใช้แล้วจะช่วยลดโลกร้อนอย่างไร จึงยังไม่มีการระบุลงไปในขั้นตอนการทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง (TOR)
“TCMA เอง รวมถึง TCA ก็พยายามจะผลักดันให้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกถูกระบุใช้ในหน่วยงานภาครัฐ เพราะเราต้องยอมรับว่า ภาครัฐที่ผ่านมาลงทุนเรื่องโครงสร้างพื้นฐานเยอะมาก เข้าใจว่าเป็นล้านๆ บาท ในประมาณ 5-10 ปีที่ผ่านมา เป็นอุปสรรคที่ผ่านมา ตอนนี้ผมเข้าใจว่า ณ ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจแล้ว เริ่มรู้แล้วว่าตอนนี้มีปูนซีเมนต์ลดโลกร้อน” รศ.ดร.ณัฐพงศ์ กล่าว
จากอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ สถานที่ต่อไปของการดูงานครั้งนี้คือ “ศูนย์การเรียนรู้เทคโนโลยีจัดการขยะชุมชนอาคารคัดแยกขยะตำบลตาลเดี่ยว” อ.แก่งคอย โดยผู้ผลักดันหลักของโครงการนี้คือ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) โดยมี เรวดี อนุวัฒนา ผู้เชี่ยวชาญวิจัย วว. เป็นผู้บรรยายสรุป ซึ่ง ตำบลตาลเดี่ยว มีเนื้อที่ประมาณ 25.64 ตารางกิโลเมตร (หรือ 16,025 ไร่) มีประชากร 10,691 คน (หรือ 6,381 ครัวเรือน) มีทั้งพื้นที่ชุมชน พื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่อุตสาหกรรม มีปริมาณขยะ 10-20 ตันต่อวัน และใช้วิธีกำจัดขยะด้วยการเทกอง
โครงการนี้ วว. เริ่มขึ้นในปี 2559 โดยสำรวจพื้นที่บ่อขยะใน 6 จังหวัดเป้าหมาย และคัดเลือกบ่อขยะ ต.ตาลเดี่ยว อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เป็นพื้นที่นำร่อง จากนั้นในปี 2560 มีความร่วมมือกับทางจังหวัดสระบุรี และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ตาลเดี่ยว และตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา ได้พัฒนาเทคโนโลยีในการจัดการขยะชุมชน ตามหลักคิด เปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน (Waste to Energy) และเปลี่ยนขยะเป็นรายได้ (Waste to Wealth)
มุ่งประโยชน์ 3 ด้าน คือ 1.เศรษฐกิจ เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น สร้างรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม 2.สังคม เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชน เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นซึ่งกันและกัน และ 3.สิ่งแวดล้อม ลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม มลพิษทางน้ำ อากาศ และของเสียจากขยะ รวมถึงลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยคว้ารางวัลเกียรติยศมาแล้ว เช่น รางวัล Gold Award งานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ (2560) , รางวัลเลิศรัฐ ระดับดีเด่น ประเภทรางวัลนวัตกรรมบริการ (2564) รางวัล จังหวัดสะอาด ของกลุ่มจังหวัดภาคกลางและภาคตะวันตก (2565)
โดยปกติแล้วเมื่อเราย่างเท้าเข้าไปในบริเวณโรงงานกำจัดขยะ (หรือแม้แต่เฉียดกรายเข้าไปใกล้ๆ) สิ่งหนึ่งที่รบกวนอย่างมากคือ “กลิ่น” ที่ค่อนข้างรุนแรง แต่สำหรับศูนย์การเรียนรู้เทคโนโลยีจัดการขยะชุมชนอาคารคัดแยกขยะตำบลตาลเดี่ยว แทบไม่มีกลิ่นเหม็นให้รู้สึกรำคาญใจแต่อย่างใด ซึ่งที่นี่เป็นแหล่งรวมนวัตกรรมที่ใช้จัดการขยะหลากหลายชนิด อาทิ 1.ระบบคัดแยกขยะกึ่งอัตโนมัติ จัดการขยะใหม่และเก่าอย่างครบวงจร ดับกลิ่นและฆ่าเชื้อด้วยสารดูดซับผ่านระบบโอโซน จึงไม่มีกลิ่นรบกวน อีกทั้งยังคัดแยกขยะพลาสติกออกมาเพื่อแปรรูปเพิ่มมูลค่าได้
2.ระบบคัดแยกชนิดและสีพลาสติกพร้อมผลิตเกล็ดพลาสติกคุณภาพสูง ขยะพลาสติกในชีวิตประจำวัน แม้กระทั่ง “ขวดพลาสติก”ก็ยังมีหลายชนิด ที่นี่มีระบบ Near Infrared and Vision สามารถคัดแยกชนิดพลาสติกเพื่อนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เกล็ดพลาสติกรีไซเคิล อนึ่ง ที่นี่ยังมี “เครื่องคัดแยกขวดพลาสติกและกระป๋องอะลูมิเนียม ที่สามารถตั้งค่าราคารับซื้อและเชื่อมโยงการลงทะเบียนหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ขายกับแอปพลิเคชั่น” ทำให้แต่ละคนรู้ได้ทันทีว่าขวดพลาสติก-กระป๋องอะลูมิเนียมที่รวบรวมมานั้นมีมูลค่าเท่าใด เหมาะมากกับการนำไปติดตั้งตามชุมชนหรือสถาบันการศึกษา เป็นการสร้างแรงจูงใจให้เกิดการคัดแยกขยะไปโดยปริยาย
3.ระบบผลิตเชื้อเพลิงขยะอัดแท่ง (RDF5) เทคโนโลยีการผลิตเป็นเชื้อเพลิงขยะอัดแท่ง (RDF5) จากขยะเก่า ขยะใหม่ หรือ RDF2 ร่วมกับของเหลือทิ้งภาคการเกษตร สร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรนำเศษวัสดุทางการเกษตรมาแปรรูป แทนที่จะเผาในที่โล่งซึ่งทำให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศ (เช่น ฝุ่น PM2.5) 4.ระบบบำบัดน้ำเสียเศษอาหารและน้ำชะขยะและผลิตพลังงานสะอาด สามารถผลิตก๊าซชีวภาพ ปริมาณก๊าซมีเทน (CH4) สูงสุดที่ร้อยละ 74
รวมถึงระบบทำความสะอาดก๊าซชีวภาพเพื่อผลิตไบโอมีเทน นำกลับมาเป็นพลังงานสะอาดป้อนคืนสู่โรงงาน ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้ถึงร้อยละ 10 ลดต้นทุนการใช้พลังงาน และไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนรอบข้าง 5.ระบบถังหมักขยะอินทรีย์ ลดการแพร่พันธุ์ของพาหะนำโรค และสามารถผลิตสารปรับปรุงดินคุณภาพสูง รองรับขยะอินทรีย์โดยไม่ต้องผ่านการลดขนาดได้สูงถึง 500 กิโลกรัมต่อวัน และลดการแพร่พันธุ์ของแมลงวันซึ่งเป็นพาหะนำโรคได้ถึงร้อยละ 20
ที่สำคัญคือ “นวัตกรรมเหล่านี้เป็นเทคโนโลยีที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงและเรียนรู้ได้ง่าย” ชุมชนหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สามารถดูแลรักษาได้เอง จึงช่วยสร้างงานในชุมชนและสร้างรายได้กลับคืนสู่ชุมชน โดยที่ผ่านมา ทาง วว. ได้จัดอบรมถ่ายทอดนวัตกรรมแก่กลุ่มเป้าหมาย เช่น ผู้นำชุมชน ผู้นำท้องถิ่น เยาวชนในพื้นที่ ทั้งนี้ ในปัจจุบัน ศูนย์การเรียนรู้เทคโนโลยีจัดการขยะชุมชนอาคารคัดแยกขยะตำบลตาลเดี่ยว ยังกลายเป็นแหล่งศึกษาดูงานของผู้สนใจทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน
“การขับเคลื่อนโครงการดำเนินงานใน 2 มิติ คือ การฝึกอบรมถ่ายทอดองค์ความรู้และงานวิจัย เพื่อลดปริมาณการเกิดขยะมูลฝอยจากครัวเรือนด้วยหลักการ 3Rs ให้เกิดการนำไปใช้ประโยชน์ สร้างรายได้ให้แก่ชุมชน ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสร้างเครื่องจักรในการคัดแยกขยะระบบกึ่งอัตโนมัติ รองรับการแก้ไขปัญหาทั้งขยะเก่าและขยะใหม่ ในการแปรรูปขยะมูลฝอยเป็นพลาสติกรีไซเคิล
สารปรับปรุงดิน น้ำหมักชีวภาพ เชื้อเพลิงจากขยะ (Refuse Derived Fuels : RDF) และพลังงานชีวภาพสะอาด ร่วมกับการลดมลพิษทางสิ่งแวดล้อม และการสร้างมูลค่าเพิ่มจากขยะที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เพื่อพัฒนาให้เป็นต้นแบบการจัดการขยะชุมชนด้วยนวัตกรรมอย่างครบวงจร” ผู้เชี่ยวชาญวิจัย วว.กล่าว
อีกด้านหนึ่ง ภาคเกษตรกรรมก็ร่วมขับเคลื่อนสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ โดยมีการปลูก “หญ้าเนเปียร์” เพื่อใช้เป็น “พืชพลังงาน”ป้อนอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์เพื่อลดการใช้ถ่านหิน ซึ่ง “ลุงสมาน” แกนนำกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เล่าว่า จริงๆ เกษตรกรรู้จักหญ้าเนเปียร์อยู่แล้ว เพราะปลูกไว้สำหรับเป็นอาหารสัตว์ เช่น โค-กระบือ แต่ต่อมาทาง SCG ได้เข้ามาส่งเสริมให้ปลูกเพื่อเป็นพืชพลังงาน
ทั้งนี้ หญ้าเนเปียร์จะปลูกได้ 1,500-1,800 กอต่อไร่ ในการตัดครั้งแรกเกษตรกรอาจยังไม่ได้ผลประโยชน์มากนักเพราะกอยังมีขนาดเล็ก แต่เมื่อเข้าสู่รอบที่ 2-3 กอหญ้าจะเริ่มแตกใหญ่ขึ้นแบบนี้จะให้ผลผลิตไม่ต่ำกว่า 80 กิโลกรัมต่อกอ หรือต่อ 60-80 ต้น หรือต้นละ 0.8-1 กิโลกรัม หรืออยู่ที่ 40-60 ตันต่อไร่ ซึ่งตนก็แนะนำเกษตรกรด้วยกันว่า พื้นที่ใดที่ปลูกข้าวโพดแล้วไม่ได้ผล หรือทำนาแล้วมีน้ำไม่เพียงพอ ให้ลองปลูกหญ้าเนเปียร์ดู
“ปลูกข้าวโพดมันต้องบริหารด้านเทวดาด้วยนะ ถ้าฝนไม่ตกปลูกข้าวโพดอย่างไรก็ไม่ได้ผล แต่ปลูกหญ้าเราสามารถเจาะบ่อบาดาลแล้วตรงไหนที่มีแหล่งน้ำที่พอจะดึงมาใช้ได้เราก็สามารถทำได้ บางครั้งปลูกข้าวโพดไม่ใช่ว่าปลูกได้ ไม่ใช่! ดูดินด้วย ตรงไหนปลูกข้าวโพดไม่ได้ก็ไม่ได้เลย ดินกระด้าง ดินเสีย เกษตรกรก็รู้ว่าตรงไหนปลูกข้าวโพดไม่ได้ก็จะไม่ปลูกเลยก็ปล่อยที่ตรงนั้นรกร้างว่างเปล่าทิ้งไว้ หรือทำนา ฝนไม่ตก ไม่มีน้ำ ก็ไม่สามารถปลูกข้าวได้”ลุงสมาน กล่าว
เจริญชัย เฉลียวเกรียงไกร ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสระบุรี กล่าวสรุปในภาพรวมถึงการขับเคลื่อนสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ ตอบโจทย์ลด-ละ-เลิกการปล่อยคาร์บอน ว่า มี 5 ด้าน คือ 1.เปลี่ยนผ่านจากการใช้พลังงานที่ปล่อยคาร์บอนสูงสู่การใช้พลังงานสะอาด 2.ปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรม 3.การจัดการขยะ 4.การทำเกษตรแบบคาร์บอนต่ำ และ 5.การเพิ่มพื้นที่สีเขียว
ซึ่งการผลิตปูนซีเมนต์ อันเป็นอุตสาหกรรมสำคัญใน จ.สระบุรี ร้อยละ 40 ของการปล่อยคาร์บอนมาจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลโดยเฉพาะถ่านหิน โดยหากย้อนไปเมื่อ 20 ปีก่อน อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ของที่นี่ใช้ถ่านหินต่อปีมากถึง 5 ล้านตัน หรือคิดเป็นเงินต่อปีมากถึงกว่า 2 หมื่นล้านบาท และเงินจำนวนนี้ไหลออกนอกประเทศเพราะในไทยไม่สามารถผลิตถ่านหินได้เอง แต่ล่าสุด ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพมากที่สุด สามารถใช้เชื้อเพลิงทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซอิลได้แล้วถึงร้อยละ 50
“50% ถ้าทุกรายทำได้หมด ทุกสมาชิกใน TCMA ทำได้หมด จาก 2 หมื่นกว่าล้านจะเหลือแค่หมื่นกว่าล้าน และอีกหมื่นกว่าล้านมันจะเป็นเงินที่กลับสู่ภาคเกษตรกรที่มีของเหลือใช้ เผาเป็น PM2.5 เอามาเป็นเชื้อเพลิงได้กับเกษตรกรที่จะปลูก ใช้อย่างเดียวมันจะไม่พอ มันจะแย่งกัน ก็ปลูกเพิ่ม อันนี้เป็นเงินหมื่นกว่าล้านบาทที่มันจะกลับสู่ประเทศไทย เกษตรกรไทย”เจริญชัย กล่าว
ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสระบุรียังกล่าวอีกว่า เป้าหมายของอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ต้องการพื้นที่ปลูกหญ้าเนเปียร์ประมาณ 3 หมื่นไร่เพื่อให้มีรอบของการตัดและทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้ทั้งหมด โดยหญ้าเนเปียร์ ช่วง 3 เดือนแรกจะเป็นหญ้าหวาน เหมาะกับการใช้เป็นอาหารสัตว์ แต่ในเดือนที่ 4-5 หญ้าจะเริ่มเป็นเส้นใย หากนำไปย่อยและทำให้แห้งสามารถส่งเข้าโรงปูนได้ มีราคารับซื้ออยู่ที่ 1,500 บาทต่อตัน หรือ 1.50 บาทต่อกิโลกรัม อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังมีทั้งเรื่องน้ำ ปุ๋ย
และโดยเฉพาะการเก็บเกี่ยวแล้วต้องทำให้แห้งด้วย ซึ่งต้องยอมรับว่าเกษตรกรมีข้อจำกัดในขั้นตอนนี้ จึงต้องมีการลงทุนเพิ่มเติม เช่น บริเวณใดที่ปลูกตั้งแต่ 500-1,000 ไร่ขึ้นไป อาจต้องมีการตั้งโรงอบและโรงย่อย ซึ่งกำลังจะมีการวิจัยต่อเนื่องในโครงการที่ทำร่วมกับ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) เพื่อให้ครบทั้งห่วงโซ่จนถึงการส่งหญ้าเนเปียร์ป้อนให้อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี