เมื่อเอ่ยชื่อ “NASA” ภาพจำที่หลายคนคุ้นชินอาจเป็นการส่งมนุษย์ออกไปสำรวจ “อวกาศ” แต่ความเป็นจริงแล้ว “โลก” กลับเป็นดาวเคราะห์ที่ NASA มีการศึกษาและสำรวจมากที่สุด โดยเมื่อเร็วๆนี้เครื่องบิน DC-8 และ G-III (G-3) ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือ NASA ได้ร่วมขึ้นบินศึกษาบรรยากาศ และตรวจวัดปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพอากาศในประเทศไทย ภายใต้โครงการ Airborne and Satellite Investigation of Asian Air Quality หรือ ASIA-AQ เพื่อเก็บข้อมูลและตรวจวัดคุณภาพอากาศตามพื้นที่ต่างๆ ในประเทศไทย
ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวว่า การศึกษาคุณภาพอากาศและมลพิษทางอากาศร่วมกับ NASA ในครั้งนี้เพื่อหาข้อมูลต้นทางที่ค้นพบเพื่อทำการประเมินถึงแหล่งกำเนิดจากประเภทต่างๆ และเตรียมนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในการศึกษาและร่วมกันแก้ไขปัญหาไปด้วยกัน ขณะนี้มีหน่วยงานมากมายทั้งภาครัฐและเอกชนให้ความสนใจเตรียมนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ตามภารกิจขององค์กรของตนเอง การติดตามเรื่องค่าคุณภาพอากาศ ข้อมูลจากดาวเทียมถือเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เราสามารถวิเคราะห์ความหนาแน่น ปริมาณ และประเมินล่วงหน้าได้เป็นอย่างดี
เมื่อเราใช้เครื่องบินมาเป็นเครื่องมือในการสำรวจร่วมด้วย ก็จะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการทำงานให้ดียิ่งขึ้น เสมือนเป็นการเชื่อมต่อและผสานข้อมูลระหว่างอวกาศ ท้องฟ้า และพื้นดิน แล้วเมื่อนำข้อมูลมาเปรียบเทียบกัน ทำให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนและถูกต้องมากขึ้น ทำให้รู้ถึงต้นตอของปัญหาฝุ่นว่ามาจากสาเหตุใด ซึ่งจะทำให้เราสามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดและถูกต้อง โดยข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นข้อมูลที่สำคัญมาก และทาง NASA ยินดีที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ในงานวิจัยทั้งหมดให้กับกระทรวง อว. โดยจะบูรณาการข้อมูลที่มีทั้งหมด รวมทั้งข้อมูลจากดาวเทียมกับข้อมูลที่ได้จากการลงพื้นที่สำรวจจริง เพื่อช่วยให้เกิดทางออกที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทย
ด้าน นายเจมส์ ครอฟอร์ด นักวิทยาศาสตร์อาวุโสด้านเคมีบรรยากาศของ NASA เปิดเผยว่าข้อมูลเบื้องต้นที่ได้จากการบินสำรวจอากาศในประเทศไทยได้มาค่อนข้างครบถ้วน โดยจากการบินสำรวจคุณภาพอากาศด้วยเครื่องบินลำใหญ่ DC-8 ที่บินสำรวจและเก็บข้อมูลสภาพอากาศตั้งแต่กรุงเทพมหานครไปจนถึง จ.เชียงใหม่ แสดงให้เห็นปริมาณควันที่อยู่ในพื้นที่ภาคเหนือสูงมากกว่าในบริเวณอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด
โดยข้อมูลหนึ่งที่น่าสนใจ คือ สัดส่วนระหว่างค่ามีเทนกับค่าคาร์บอน ซึ่งสามารถแยกได้ว่า “ควัน” หรือ “อากาศ” ที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากสาเหตุอะไรและมีองค์ประกอบทางเคมีเป็นอย่างไร ซึ่งจากการบินสำรวจเบื้องต้นอาจเป็นไปได้ว่าเกิด “การเผา” ในพื้นที่โล่งมากกว่า ในขณะที่ข้อมูลที่ได้จากเครื่องบิน G-3 ที่บินอยู่เหนือน่านฟ้ากรุงเทพฯ ทำให้สามารถมองเห็นข้อมูลรอบกรุงเทพฯได้อย่างชัดเจน แต่ละที่ก็จะมีเคมีองค์ประกอบที่ต่างกันและมีปฏิกิริยาทางเคมีที่ทำให้เกิดมลพิษในบรรยากาศ ซึ่งเราต้องเข้าใจองค์ประกอบสารที่อยู่ในอากาศ เช่น โอโซน, ฟอร์มาลดีไฮด์, มีเทน, ไนโตรเจนไดออกไซด์ เป็นต้น โดยข้อมูลที่ได้จากการสำรวจเหล่านี้จะนำไปใช้ในการสร้างโมเดลเพื่อพยากรณ์และคาดการณ์การลดปริมาณมลพิษในอากาศต่อไป
นายเจมส์ ครอฟอร์ด ยังกล่าวเพิ่มในตอนท้ายอีกว่า ข้อมูลที่ได้จากการบินสำรวจยังไม่สำคัญเท่ากับว่าเราจะนำข้อมูลเหล่านี้ไปบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อมนุษยชาติได้อย่างไรมากกว่า ทั้งนี้ ในระหว่างที่เราทำการบินสำรวจ เราได้เจอสภาพอากาศทั้งช่วงที่มีฝุ่นมากที่สุดและช่วงหลังจากฝนตก ซึ่งถือเป็นโอกาสดีของการตรวจวัดในสภาวะอากาศที่มีความแตกต่างกัน ทำให้มีข้อมูลหลากหลายที่สามารถนำไปสร้างเป็นแบบจำลองเพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลอีกด้วย
นอกจากนี้ ได้มีผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ร่วมแชร์ประสบการณ์หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจการบินสำรวจคุณภาพอากาศในประเทศไทย รวมถึงประโยชน์ที่ได้จากการศึกษาปัญหาคุณภาพอากาศโดยใช้เครื่องบิน สถานีภาคพื้นดิน และดาวเทียมสำรวจร่วมกับทาง NASA โดยมีการพูดถึงประเด็นที่น่าสนใจ อาทิ แนวทางการนำผลลัพธ์ที่ได้จากการศึกษาเรื่องคุณภาพอากาศของประเทศไทยมาเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศของไทย ซึ่งหน่วยงานต่างๆ ได้นำเสนอแนวทางที่อยู่ในรูปแบบโครงการที่จะนำข้อมูลที่ได้ไปวิจัยและพัฒนาต่อยอดทั้งในเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติ เพื่อยกระดับการป้องกัน การแก้ไขปัญหา และการติดตามสถานการณ์ฝุ่นละออง
อีกทั้งยังมีการพูดถึงข้อมูลที่น่าสนใจที่ได้จากการบินสำรวจ และความแตกต่างของข้อมูลจากหลายๆ ประเทศ ซึ่งในทวีปเอเชียมีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมาก มีการเพิ่มขึ้นของประชากรอย่างรวดเร็ว แต่โอกาสเหล่านั้นในบางครั้งก็มาพร้อมกับมลภาวะต่างๆ ซึ่งข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดที่ได้จากการบินสำรวจในฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ และประเทศไทย คือการเปลี่ยนแปลงของฝุ่นละอองในแต่ละวัน ซึ่งปัจจัยหลักมาจากการเผาไหม้ในที่โล่งแจ้ง การจราจร และระบบอุตสาหกรรมต่างๆ สำหรับในประเทศไทยมีการเผาไหม้ค่อนข้างสูง ส่วนในฟิลิปปินส์มีการพบเจอไฟป่าบ้าง แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศมาก เกาหลีใต้ฝุ่นละอองขึ้นอยู่กับสภาพอากาศบางครั้งอากาศค่อนข้างสะอาด นอกจากข้อมูลที่ได้รับจากการบินสำรวจและจะมีการพัฒนาให้เป็นแบบจำลองแล้ว สิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาใหญ่คือการส่งเสริมให้ผู้คนตระหนักและให้ความสนใจกับเรื่องคุณภาพอากาศเพื่อร่วมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทยต่อไป
อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนต่อไปจะเป็นหน้าที่ของประเทศไทยในการนำข้อมูลที่ได้มาทำการศึกษาและวิเคราะห์ โดย GISTDA ในฐานะหน่วยงานกลางพร้อมจะประสานร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันใช้ข้อมูลอันจะนำไปสู่การพัฒนา ต่อยอดที่หลากหลาย เพื่อการขับเคลื่อนนโยบายและแก้ไขปัญหามลภาวะทางอากาศร่วมกันต่อไป
ขณะที่ นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศภาคพื้นดินของกรมควบคุมมลพิษ และมี GISTDA ที่ใช้ข้อมูลจากดาวเทียมในการติดตามสถานการณ์ฝุ่นจากนอกโลก ทำให้สามารถประมาณการฝุ่นในพื้นที่ที่ห่างไกลจากอุปกรณ์ตรวจวัดภาคพื้นดินได้ และครอบคลุมพื้นที่ในบริเวณกว้าง เพื่อประเมินและคาดการณ์แนวโน้มความรุนแรง รวมถึงทิศทางของฝุ่นในระดับจังหวัดหรือภูมิภาค แต่การตรวจวัดจากอวกาศและการตรวจวัดบนพื้นผิวโลกยังไม่เพียงพอ ข้อมูลในระดับชั้นบรรยากาศที่มีพลวัตสูงด้วยลมและไอน้ำที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจึงเป็นส่วนสำคัญในการทำความเข้าใจในสถานการณ์และพัฒนาการของมลพิษทางอากาศ
“และความร่วมมือภายใต้ ASIA-AQ ถือเป็นความก้าวหน้าของความร่วมมือทางด้านวิทยาศาสตร์และการวิจัยระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา ซึ่งข้อมูลมีประโยชน์อย่างมาก และจะมีการเปิดเผยสู่สาธารณะ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและนักวิจัยนำไปใช้พัฒนาแบบจำลองด้านมลพิษทางอากาศของไทยสู่การกำหนดแผนการจัดการมลพิษที่ต้นตออย่างแท้จริง รวมถึงมาตรการในการแจ้งเตือนการเกิดฝุ่นล่วงหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ” นายจักรพล ระบุ
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี