ช่วงไม่ถึง 1 เดือนที่ผ่านมา มีคำพูดประมาณว่า “การเมืองยุคนี้มันแปลก” อะไรที่ไม่เคยได้เห็นก็ได้เห็นแล้ว อย่าง “การจับมือกันของพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย” จากคู่แข่งที่ต่อสู้กันมากว่า 2 ทศวรรษ กลายเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเดียวกัน หรือ “การที่พรรคเพื่อไทยดึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ส่วนหนึ่งของพรรคพลังประชารัฐไปร่วมรัฐบาลโดยไม่เอาพรรค” ซึ่งพรรคเพื่อไทยอ้างว่า มติที่ประชุม สส. ของพรรคไม่สบายใจการกระทำของพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคและหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลบางคน
จาก 2 เหตุการณ์ครั้งต้น ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ที่มี สส. ทั้งหมด 25 คน ย้ายไปอยู่ฝั่งรัฐบาล 21 คน และยังเป็นฝ่ายค้าน 4 คน ขณะที่พรรคพลังประชารัฐ จาก สส. 40 คน แทบจะแบ่งครึ่งระหว่าง “ทีมผู้กอง” หรือฝ่ายสนับสนุน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตเลขาธิการพรรค ที่อยู่ในซีกรัฐบาล กับ “ทีมลุงป้อม” หรือฝ่ายสนับสนุน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ที่ต้องไปเป็นฝ่ายค้าน จนทาง “พรรคประชาชน” ซึ่งเป็นพรรคแกนนำฝ่ายค้าน ถูกแซวว่า “มีลุงไม่มีเรา..แต่วันนี้ลุงไปหาแล้วนะ” และจะต้องทำงานร่วมกัน
รายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในตอนที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2567 ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงเรื่องพรรคพลังประชารัฐต้องไปเป็นฝ่ายค้าน ว่า รู้สึกสนุกขึ้น เพราะเป็นฝ่ายรัฐบาลบางครั้งก็ทำอะไรไม่ได้เต็มที่ เห็นอะไรที่ขัดใจหรือไม่ถูกต้อง คราวนี้จะได้ตรวจสอบอย่างเต็มที่เพราะตนก็มีข้อมูลอยู่ไม่น้อย แต่ไม่มีคำว่ามือใหม่ ตนเชื่อว่า สส. ทุกคนพร้อมทำหน้าที่ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลอยู่แล้ว
เมื่อถามว่าได้คุยกับ สส. ในพรรคหรือไม่ เรื่องนี้ก็ชัดเจนอยู่แล้ว คนที่อยู่ก็คืออยู่ พร้อมเป็นฝ่ายค้าน ส่วนคนที่ไม่อยากเป็นฝ่ายค้านกลัวเสียผลประโยชน์ ถูกดูดไปก็ไปกันหมดแล้ว เหลือแต่คนที่เป็นเนื้อแท้พร้อมจะทำงาน ส่วนที่มีคำถามว่า พรรคพลังประชารัฐจะเป็นฝ่ายค้านอิสระ ทำงานแยกตัวกับพรรคประชาชนหรือไม่ จริงๆ ฝ่ายค้านคืออิสระอยู่แล้ว แต่ก็ต้องคุยกัน ต้องประสานงานการแบ่งเวลาอภิปราย การลงมติว่าจะไปในทิศทางใด
อีกคำถามสำคัญ “จะมีโอกาสได้เห็น พล.อ.ประวิตร ซึ่งเป็น สส.บัญชีรายชื่อของพรรคพลังประชารัฐ อภิปรายในสภาหรือไม่” นายชัยวุฒิ กล่าวว่า “พล.อ.ประวิตร ไม่ถนัดเรื่องอภิปราย แต่ถนัดเรื่องประสานงาน วางแผน หรือทำงานด้านยุทธศาสตร์มากกว่า” ซึ่งความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประวิตร คงไม่ต่างจากเดิม คือการสนับสนุนสมาชิกพรรคให้ทำงานได้อย่างเต็มที่ และช่วยประสานงานกิจกรรมต่างๆ ให้พรรคเดินไปข้างหน้า
แต่ที่จะเข้มข้นขึ้นคือการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ตนก็ขอใช้คำว่าไม่ต้องเกรงใจกัน คือมีอะไรก็พูดกันตรงๆ เลย ส่วนที่มีการพูดกันว่า การทำงานของพรรคพลังประชารัฐอยู่นอกสภาเสียเยอะ ก็ต้องยอมรับความจริงก่อนว่าจำนวน สส. ในสภามีไม่มาก คือแบ่งคนละครึ่งกับ สส. ฝ่ายของ ร.อ.ธรรมนัส เฉลี่ยฝ่ายละ20 คน คงไม่สามารถล้มรัฐบาลหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้
โดยการทำงานนอกสภา หมายถึงการที่ประชาชนหรือกลุ่มต่างๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล รวมถึงมีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตต่างๆ อาจส่งข้อมูลมาที่พรรค เพราะคาดหวังให้พรรคพลังประชารัฐนำไปดำเนินการต่อให้ หากไม่มีใครดำเนินการก็จะถูกปล่อยค้างอยู่อย่างนั้น ก็ต้องมีคนนำไปดำเนินการให้ถึงที่สุด แต่คงไม่ต้องถึงกับตั้งทีมรับเรื่องร้องเรียนขึ้นมา เพราะในพรรครู้กันอยู่แล้วว่าใครทำหน้าที่นี้บ้าง
ส่วนที่มีการตั้ง ไพบูลย์ นิติตะวัน มือกฎหมายมาเป็นเลขาธิการพรรคคนล่าสุด มีคำถามว่าเป็นการส่งสัญญาณว่าจะทำอะไรหรือไม่ก็เป็นอย่างที่คิด คือ พรรคพลังประชารัฐจะมีบทบาทขับเคลื่อนเรื่องกฎหมายเยอะ อีกอย่างนายไพบูลย์ก็เป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งที่คณะกรรมการบริหารพรรคให้ความนับถือ การทำงานก็จะราบรื่นและต่อเนื่อง ตนมองว่าเป็นผลดีต่อพรรค ส่วนนายไพบูลย์จะไปผนึกกำลังกับสมาชิกพรรคอย่าง เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ หรือไม่ ก็พูดคุยกันอยู่ แต่เชื่อว่าต่างคนต่างทำหน้าที่ ไม่ถึงกับต้องมาประชุมหรือประสานกัน ใครเห็นปัญหาก็ว่าไป
การประชุมใหญ่สามัญ ครั้งที่ 2 ของพรรคพลังประชารัฐ วันที่ 6 ก.ย. 2567 ซึ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
หัวหน้าพรรค (แถวแรกนั่งตรงกลาง) กล่าวกับสมาชิกพรรคในตอนหนึ่งว่า “จากนี้เราจะไม่มีความแตกแยกกันอีกแล้ว”
โดยตนก็เป็นห่วงรัฐบาล เพราะแม้จะเป็นรัฐบาลต่อเนื่อง มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำเหมือนเดิม ต่อมา มาจาก เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ามีหลายอย่างประชาชนผิดหวังมาจากรัฐบาลชุดก่อน จึงคาดหวังว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันที่นำโดยนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร จะทำให้ดีขึ้น แต่เท่าที่ดูก็ยังไม่เห็นอะไรที่ชัดเจนว่าจะดีขึ้น แต่ที่น่าเป็นห่วงคือปัจจุบันหนักกว่าเดิมเพราะมีเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลที่ขัดอารมณ์คน
“ทั้งการดูด สส. ไป การเอาพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งความรู้สึกของคนกลุ่มหนึ่งก็ไม่เห็นด้วยมาร่วม และที่หนักกว่านั้นก็คือปัญหาเรื่องจริยธรรม ซึ่งมันทำให้นักการเมืองหลายคนไม่สามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้ แต่รัฐบาลนี้ก็ไปเลี่ยงกฎหมาย เลี่ยงรัฐธรรมนูญด้วยการใช้นอมินี ใช้ตัวแทนมาทำหน้าที่แทน ซึ่งอันนี้มันทำให้ประชาชนรู้สึกไม่ไว้วางใจ ไม่สบายใจกับสิ่งที่รัฐบาลทำ คือพอมันเริ่มต้นไม่ดี ผมว่าการเดินหน้าให้มันได้ใจประชาชนมันก็เป็นไปได้ยาก” นายชัยวุฒิ ระบุ
นายชัยวุฒิ กล่าวต่อไปว่า ส่วนคำถามว่าพรรคพลังประชารัฐจะมีทีเด็ดอะไรหรือไม่ เพราะสังคมก็จับตาดูอยู่ ก็ต้องรอดูกันไปก่อน คงจะเป็นการตรวจสอบรัฐบาล และเป็นหลักในการรวบรวมกลุ่มต่างๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลมาช่วยกันทำงานเพื่อตรวจสอบรัฐบาลและแก้ปัญหาให้ประชาชน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า สีส้มกับสีแดงเคยอยู่ด้วยกันมาก่อน หรือมาจากไข่ใบเดียวกัน จึงอาจไม่ได้ค้านกันทุกเรื่องบางเรื่องที่เห็นด้วยเหมือนกันก็ไม่ได้ค้าน แต่พรรคพลังประชารัฐไม่ได้มาจากไข่ใบเดียวกับส้มหรือแดง ชัดเจนว่าตรงข้ามกันแน่นอนเรื่องอุดมการณ์และการทำงาน
อย่างพรรคการเมืองสีส้ม เวลาค้านก็เหมือนนักมวยเต้นฟุตเวิร์ควนๆ แล้วออกหมัดแย็บ แต่ไม่มีหมัดน็อก อย่างเรื่อง ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เรื่องชั้น 14 ไม่มีการพูดถึง ในขณะที่พูดเรื่องทหารไม่ยุติธรรมบ้าง นักการเมืองเก่าไม่ดีบ้าง มันสะท้อนเรื่องการมีอยู่จริงของดีลลับระหว่างส้มกับแดง จึงต้องมีพรรคพลังประชารัฐเป็นหลักในการต่อสู้จริงๆ ไม่มีดีลลับ ตนมองว่าเรื่องนี้เป็นความคาดหวังของประชาชนที่ไม่ไว้วางใจทั้งพรรคส้มและนายทักษิณ ซึ่งพลังนี้กำลังก่อตัวขึ้น
“วันนี้คนมีส้ม-แดง และคนที่ไม่เอาส้มกับแดง แล้วผมเชื่อว่าส้มกับแดงเขาแตะมือกัน เพราะผมก็เคยวิเคราะห์การเมืองว่าถ้ารัฐบาลนี้มีปัญหามาก โดนร้องเรียน ไปไม่รอด เขายุบสภาปุ๊บ!เลือกตั้งรอบหน้าผมก็มีความเชื่อว่าส้มกับแดงพร้อมจะรวมกันแน่นอน ถามว่าส้มจะรวมกับพลังประชารัฐไหม? เป็นไปไม่ได้เพราะเราปกป้องสถาบันฯ จะรวมกับส้มได้อย่างไร และแดงก็ชัดเจนกับเราแล้วว่าไม่เอากัน มันก็เห็นอยู่แล้ว รัฐบาลหน้าหลังเลือกตั้งก็คือเป็นส้มกับแดงรวมกัน ซึ่งเขาก็พร้อมจะยุบสภาเพื่อรักษาความได้เปรียบทางการเมืองอย่างแน่นอน” นายชัยวุฒิ กล่าว
รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ขยายความในประเด็นนี้ว่า พรรคพลังประชารัฐต้องเร่งทำงาน รวบรวมกำลังเพื่อเตรียมเข้าสู่การเลือกตั้ง ซึ่งก็เป็นความหวังของคนอีกกลุ่มเช่นกัน โดยปัจจุบันกลุ่มการเมืองต่างๆ ถูกรวมเข้าไปอยู่ในฝ่ายรัฐบาลเป็นจำนวนมาก ไม่เหลือฝ่ายค้านที่ทำหน้าที่ค้านอย่างจริงจังและตรงไปตรงมา อนึ่ง แม้จะเป็นที่รับรู้กันว่าอดีตนายกฯ ทักษิณ มีบทบาทกับรัฐบาล แต่ในทางกฎหมายถือว่าเป็นบุคคลต้องห้ามทางการเมืองเนื่องจากเคยถูกลงโทษในคดีทุจริต ดังนั้นพรรคเพื่อไทยรวมถึงรัฐบาลก็ต้องระมัดระวัง
ส่วนกระแสข่าวว่า อาจมีนักการเมืองที่เป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐลาออกกันเป็นจำนวนมากเพื่อย้ายไปอยู่กับพรรคเพื่อไทย เรื่องนี้ตนตอบไม่ได้เพราะเป็นเรื่องของอนาคต แต่ก็คิดได้ 2 อย่าง คือคนกลุ่มหนึ่งก็อยากได้รับการเลือกตั้งเป็น สส. และคิดว่าจะมีโอกาสมากขึ้นหากอยู่ในพรรคที่ได้รับความนิยมจากประชาชน รวมถึงมองว่าหากได้เป็น สส. ฝ่ายรัฐบาล ก็มีโอกาสผลักดันงบประมาณหรือขออำนาจไปช่วยเหลือประชาชนได้
ในทางกลับกันก็จะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่คิดว่าการเป็นฝ่ายค้านสามารถสร้างคะแนนนิยมได้ เพราะเห็นว่าเป็นรัฐบาลมีแต่เจ๊ากับเจ๊ง คือทำดีก็เพียงเสมอตัว การเป็นฝ่ายค้านจึงเป็นโอกาสในการเรียกมวลชนกลับมาเพื่อเตรียมไปสู่การเลือกตั้ง ซึ่งคนที่คิดแบบหลังก็มีไม่น้อยแต่ก็ย้ำว่า “พรรคพลังประชารัฐไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ” เพราะสู้เต็มที่อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า “พรรคการเมืองมีขึ้น-มีลง” มีทั้งช่วงที่ได้ สส. มากและช่วงที่ได้ สส. น้อย หรือมีความขัดแย้ง แต่ทุกวันนี้ทั้งหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรค ก็พยายามขับเคลื่อนพรรค สู้ด้วยกันให้พรรคเดินหน้าไปได้
เมื่อถามว่าหนักใจหรือไม่กับปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐ นายชัยวุฒิ ตอบว่า ตนรู้สึกเฉยๆ มาถึงจุดนี้ก็สบายใจเพราะใครที่รักเราก็อยู่ด้วยกันต่อ ส่วนใครที่ไม่รักหรือหักหลังก็ทำให้ชัดเจนไปจะได้ไม่ต้องเกรงใจหรือระวังกันอีก ส่วนความสัมพันธ์ของ พล.อ.ประวิตร กับ ร.อ.ธรรมนัส ที่ก่อนหน้านี้สนิทสนมกันมาก ก็ต้องทำใจเพราะผ่านไปแล้ว ตนเชื่อว่า พล.อ.ประวิตร คงทำใจได้และเดินหน้าต่อไป
“เหตุการณ์เหล่านี้มันมีการพัฒนามาเป็นระยะ มันไม่ใช่ปุ๊บปั๊บ คนในพรรคก็พอรู้ว่ามันมีกระบวนการทำอะไรกันอยู่ วันนี้ก็ถึงจุดที่ยุติแล้วว่ามีกระบวนการ สส. กลุ่มหนึ่งถูกดูดไปอยู่รัฐบาล อยู่พรรคเพื่อไทย ก็ยังดีใจว่าอย่างน้อยก็ยังมีคนอยู่กลุ่มหนึ่งยังยืนหยัดที่อยู่และสู้ (ร่วม) กับ พล.อ.ประวิตร” นายชัยวุฒิ กล่าว
จากปัจจุบันมองสู่อนาคต รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึง “การปรับโฉม (Rebrand) พรรคพลังประชารัฐ เพื่อเตรียมตัวสู่การเลือกตั้งในปี 2570” ว่า ขณะนี้ยังไม่ตกผลึกเพราะยังเป็นช่วงเริ่มต้น แต่เรื่องแรกที่ต้องทำคือ 1.การทำงาน หากพรรคทำงานตรวจสอบรัฐบาลอย่างเต็มที่ มีผลงานในสภา เป็นความหวังให้กับประชาชนได้ ตนเชื่อว่าคะแนนนิยมของพรรคน่าจะดีขึ้น กับ 2.สร้างเครือข่าย รวมคนกลุ่มต่างๆ เข้ามาทำงาน เพราะพรรคมี สส. ปัจจุบันราว 20 คน แต่การเลือกตั้งทั้งประเทศมี สส. ถึง 400 เขต ต้องหาคนมาเข้าร่วมเพื่อให้พรรคเติบโตมากขึ้น!!!
หมายเหตุ : สามารถติดตามรายการ “สีสันการเมือง แบบเด้งเด้ง” ดำเนินรายการโดย บุญระดม จิตรดอน ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในรูปแบบการพูดคุยกับแขกรับเชิญ ได้ทุกวันอังคารและวันพฤหัสบดี เวลา 11.00-12.00 น. โดยประมาณ ส่วนทุกวันพุธในช่วงเวลาเดียวกัน จะเป็นรูปแบบการเล่าข่าวที่น่าสนใจในประเด็นการเมือง โดยมีสื่อมวลชนสายทหารอย่าง วาสนา นาน่วม มาร่วมดำเนินรายการ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี