วันพุธ ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ข่าว Like สาระ
‘พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร’  ปราบ‘แก๊งคอลฯ’ต้องไปให้สุด  ‘ดับไฟใต้’2ข้อทำได้ปัญหาคลี่คลาย

‘พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร’ ปราบ‘แก๊งคอลฯ’ต้องไปให้สุด ‘ดับไฟใต้’2ข้อทำได้ปัญหาคลี่คลาย

วันเสาร์ ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.
Tag : แก๊งคอลฯ ฉ้อโกงทางโทรคมนาคม พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร
  •  

“ฉ้อโกงทางโทรคมนาคม (Telecom Fraud)” หรือที่คนไทยเรียกรวมๆ กันว่า “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ตามพฤติกรรมในระยะแรกๆ ที่เน้นการโทรศัพท์มาหลอกลวงเหยื่อ อ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบอกว่าเหยื่อมีคดีความเกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมายและบอกว่าสามารถช่วยเคลียร์ให้ได้โดยต้องโอนเงินไปเป็นค่าดำเนินการหรือให้ตรวจสอบ ก่อนจะขยายไปเป็นการหลอกลวงผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) เช่น สร้างเพจเฟซบุ๊กปลอมแอบอ้างบริษัทใหญ่ๆ ชักชวนให้ลงทุน มีแหล่งเงินกู้หรือมีงานให้ทำแต่ต้องโอนเงินไปให้ก่อน

ซึ่งอาชญากรรมประเภทนี้นอกจากจะประสงค์ต่อทรัพย์ของเหยื่อแล้วยังเป็นการ “ค้ามนุษย์” ตามที่มีข่าวปรากฏอยู่เป็นระยะๆ ถึงโฆษณาชวนเชื่อ “งานสบายรายได้ดี” เช่น กรณีคนไทยจะถูกล่อลวงไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้าน อ้างว่ามีงานในบ่อนการพนัน หรือ “กาสิโน” (ซึ่งเป็นธุรกิจถูกกฎหมายในประเทศนั้น) หรือในสถานบันเทิง ส่วนชาวต่างชาติจะถูกล่อลวงว่ามีงานให้ทำในไทย แต่เมื่อมาถึงจะถูกนำพาจากไทยข้ามชายแดนไปฝั่งเพื่อนบ้าน ถูกกักขังและบังคับให้เข้าร่วมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หากขัดขืนหรือทำยอดได้ไม่ถึงที่กำหนดก็จะถูกทำร้ายร่างกาย


รายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในตอนที่เผยแพร่วันที่ 25 ก.พ. 2568 พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตรอดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่า เมื่อดูพัฒนาการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ต้องย้อนไปดูตั้งแต่ธุรกิจการพนัน หรือกาสิโน จากนั้นเมื่อการพนันออนไลน์
พัฒนาขึ้น ซึ่งใช้ฐานเงินเดียวกันแม้รูปแบบการแทงพนันจะเปลี่ยนไปโดยคนไม่ได้มาเล่นที่กาสิโนแบบเดิม แต่เมื่อยกระดับไปเป็นการหลอกลวงก็เปลี่ยนวิถีไปเป็นการบังคับ ไม่ใช่สมัครใจเหมือนอย่างช่วงที่รับสมัครคนไปทำงานในกาสิโน

“พอมีการหลอกลวงบังคับ ต้องก็เกิดการบอกว่าถ้าไม่ดำเนินการตามเป้าหมายก็อาจต้องมีการซ้อมทรมาน เริ่มเข้าเกณฑ์เป็นการค้ามนุษย์ สิ่งที่สำคัญที่สุด บางทีทรมานไม่พอ เอายาเสพติดมาบังคับ มันก็เข้าครบวงจรอุบาทว์ มันก็เป็นการค้ามนุษย์ เป็นยาเสพติด แล้วไปจบที่ฟอกเงิน ก็วนกลับมาที่กาสิโนตามเดิมอีกที เพียงแต่
กาสิโนปัจจุบันนี้ในกัมพูชา และในเมียวดี-เมียนมา มันดูไม่เท่ ถ้าเกิดมาตั้งที่ไทยได้มันเท่ แล้วมันแนบเนียนกว่า รับรองมันจะไหลวงจรอุบาทว์กลับมาที่ประเทศไทย แต่มันจะไม่ไหลไปแบบสิงคโปร์ เพราะสิงคโปร์ไม่มีธุรกิจพนันออนไลน์ มีกาสิโน”

เมื่อกล่าวถึงการอนุญาตให้ตั้งกาสิโน จะมีหลักสำคัญ 2 ข้อใหญ่ 1.ที่ตั้งด้วยเหตุผลด้านความจำเป็น เช่น เป็นประเทศที่ทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้จึงต้องใช้กาสิโนเป็นแหล่งจูงใจ กับ 2.ธรรมาภิบาลของเจ้าหน้าที่รัฐ หากเรื่องนี้เข้มแข็งได้มาตรฐานสากลก็สามารถตั้งได้ อีกทั้ง“แม้จะเป็นประเทศร่ำรวยก็ไม่เคยบอกว่าร่ำรวยจากธุรกิจการพนัน”ดังตัวอย่างจาก สิงคโปร์ ที่ไม่เคยบอกว่าร่ำรวยจากการมีกาสิโน ส่วนหากเป็นกรณีของไทย การตั้งกาสิโนแม้จะไม่ถูกยกระดับเป็นฐานปฏิบัติการแก๊งคอลเซ็นเตอร์-มิจฉาชีพออนไลน์ แต่จะกลายเป็นแหล่งฟอกเงิน

ทั้งนี้ “การมองต้องมองรวมกันทั้งภูมิภาค” เพราะมีความเชื่อมโยงกัน เช่น ข้อมูลจาก สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ระบุว่า เมียนมา ลาว และกัมพูชา เป็นแหล่งอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการค้ามนุษย์ ในขณะที่ไทยถูกมองว่าเป็นผู้สนับสนุน ทั้งไฟฟ้า น้ำมันและสัญญาณอินเตอร์เนต รวมถึงคนที่เข้าไปในพื้นที่เหล่านั้นก็ใช้ไทยเป็นทางผ่าน ภาพลักษณ์ของประเทศไทยจึงอยู่ในสถานะล่อแหลม

ส่วนมาตรการของไทยในการตัดปัจจัยต่างๆ เพื่อไม่ให้ถูกกลุ่มแก๊งเหล่านี้นำไปใช้ประโยชน์ หากเป็นกระแสไฟฟ้าเชื่อว่าคงไม่สร้างความหนักใจให้องค์กรอาชญากรรมมากนัก เพราะทางนั้นมีการทำฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) ขณะที่สัญญาณอินเตอร์เนตก็ใช้บริการระบบดาวเทียม Starlink แต่สิ่งเหล่านี้ย่อมมีต้นทุนสูงขึ้น ผลก็คือจะไปบีบให้แรงงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทำยอดให้มากขึ้นด้วย ก็จะยิ่งเข้าข่ายค้ามนุษย์

แต่ก็ยอมรับว่า “ประเทศไทยไม่มีพลังพอจะใช้มาตรการเชิงรุก” จึงไม่สามารถข้ามพรมแดนไปจัดการได้ถึงประเทศที่ฐานปฏิบัติการของแก๊งเหล่านี้ตั้งอยู่ ไทยจึงต้องคุยกับประเทศเพื่อนบ้าน(เช่น เมียนมา) ให้ลงตัว มีการใช้กลไกประชาคมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(อาเซียน) สุดท้ายคือต้องพึ่งบทบาทชาติมหาอำนาจ (เช่น จีน) อย่างไรก็ตาม “การสร้างภูมิคุ้มกันต้องเร่งรัดให้เกิดขึ้น” เช่น จำนวนและความสามารถของตำรวจไซเบอร์ ตลอดจนเครื่องมือที่ต้องใช้รับมือที่ต้องมีมากพอ รวมถึงมีกลไกทางกฎหมาย กำหนดให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือและสถาบันการเงินต้องร่วมรับผิดชอบ “แม้ถูกหลอกแต่เงินยังไม่ไหลออกไป” ก็ยังบรรเทาความเสียหายได้

ส่วนที่มองว่ามาตรการที่ดำเนินการกันอยู่เป็นเพียงการปราบปรามชั่วครั้งชั่วคราว ก็ต้องยอมรับว่าอาชญากรจะหนีไปล่วงหน้าเสมอ ไล่ตั้งแต่อยู่ที่ปอยเปต- สีหนุวิลล์ (กัมพูชา) ต่อมาก็ย้ายข้ามมาอยู่ที่ชเวโก๊กโก่-เคเคปาร์ก (เมียนมา)พอเริ่มปราบปรามจริงจังก็หนีลงไปอยู่แถวพญาตองซู (เมียนมา) ไทยทำอะไรได้ลำบากเพราะเป็นพื้นที่ของประเทศเพื่อนบ้าน อีกทั้งรัฐบาลของประเทศนั้นก็ไม่ได้มีอำนาจในทุกพื้นที่ เช่นชเวโก๊กโก่ เป็นเขตอิทธิพลของกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์กะเหรี่ยง และยังเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่จ่ายค่าสัมปทานให้รัฐบาลกลางของเมียนมา คำถามคือแบบนี้จะทำอย่างไรให้รัฐบาลเมียนมาร่วมมือ

“ทำไมพวกนี้ (องค์กรอาชญากรรม) ต้องยึดพื้นที่เหล่านี้ เพราะมันเหมือนเป็นรัฐอิสระ กฎหมายบังคับไม่ได้ มันบังคับได้โดยชิตตู (ซอชิตตู หรือหม่องชิตตู ผู้นำกลุ่ม BGF - KNA ซึ่งปกครองเมืองเมียวดี) กองกำลังพิทักษ์ชายแดน แต่ถ้ามาเป็นที่กัมพูชา เขายังเป็นประเทศนะ ไม่ง่ายนะ ฉะนั้นการแสดงระยะที่ 2 ที่มาจัดการให้ประเทศไทยไปตัดทั้งหลายแล้วก็ไปที่เมียวดี แต่พอจะมาที่กัมพูชากลับเสียงซาลง กัมพูชาก็เกิดประเด็นเสียก่อน ประเด็นรักชาติขึ้นมา (ร้องเพลงชาติที่ปราสาทตาเมือนธม) เขาก็เอาสถานการณ์มาเบี่ยงเบน

แล้วตอนนี้มีตำรวจไทยที่ไปจับมือกันแล้วก็ไปจัดการ แต่พอไปจัดการ ปัญหาคือพอข้ามไปก็ไปที่บันเตียเมียนเจย ในปอยเปต ไปที่ตึก 3 ชั้น ไปจัดการได้ แต่คนเขาบอกไม่ใช่ตึก 3 ชั้น ช่วยไปจัดการตึก 25 ชั้นตึก 18 ชั้น 19 ชั้น ตัวหลักมันอยู่ตึกโน้นประชาชนก็เลยมองว่าเป็นละคร ก็คุณรู้อยู่ ตึก 25 ชั้น แล้วแถมรู้นะว่า2 สัญชาติ ไทย-กัมพูชา เป็นเจ้าของตึกเป็นก๊วนเกาะกง แล้วตอนนี้สยายปีกมาที่ช่องจอม-อุดรมีชัย ตรงข้ามกับสุรินทร์-ศรีสะเกษ บางคนนึกว่าหนีกลับไปปอยเปต ดังนั้นอาชญากรมันจะไปของมันเรื่อย มันจะก้าวนำไป 1 ก้าวเสมอ”

ซึ่งด้วยความที่อาชญากรรมประเภทนี้ปราบยาก เพราะมีทุนสูงระดับแสนล้านบาท ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจถึงขั้นลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าใช้เองก็ได้ ข้อเสนอคือ “ไทยต้องอาศัยโอกาสนี้เข้าไปเป็นผู้กำกับร่วมกับจีน” รวมถึงต้องดึงอาเซียนเข้าไปด้วย และนอกจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ต้องขยายผลไปให้ถึงแหล่งผลิตยาเสพติด ซึ่งเชื่อกันว่าสารตั้งต้นที่นำไปใช้ผลิตมาจากจีนและอินเดีย รวมถึงกองกำลังติดอาวุธที่มีอิทธิพลเหนือพื้นที่ที่ใช้เป็นโรงงานยาเสพติดมาจากที่ใด “และถ้าจะให้ดีต้องดึงชาติตะวันตกเข้ามาด้วย” เพราะยาเสพติดถูกส่งไปยังตลาดในประเทศเหล่านั้น

จากเรื่องกาสิโน พนันออนไลน์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พล.ท.ภราดร ยังกล่าวถึงการแก้ปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งล่าสุดอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ได้ไปเยือนพื้นที่ดังกล่าว ว่า นายทักษิณเองก็เป็นหนึ่งในเหตุปัจจัย เพราะสมัยที่เป็นนายกฯ ไปใช้คำพูดว่าโจรกระจอก แล้วสถานการณ์ก็ยาวมาจนถึงปัจจุบัน ในขณะที่การแก้ไขปัญหาถือว่าพัฒนาช้า กฎหมายไม่ได้ถูกแก้ไขให้นำไปสู่การดำเนินการที่สัมฤทธิผล

อีกทั้งการที่นายทักษิณเลือกใช้คำว่า “ขออภัย” แทนคำว่า “ขอโทษ” ก็ไม่โดนใจคนในพื้นที่ เพราะคำว่าขอโทษคือการทำผิดต้องได้รับโทษแต่มาขอให้ไม่ต้องลงโทษ แต่คำว่าขออภัยหมายถึงจะเกิดภัยขึ้นแล้วมาขอว่าอย่าให้ภัยมาถึงตัว คำว่าขออภัยจึงมีนัยเชิงน้ำหนักที่บางกว่าคำว่าขอโทษ และที่ล่าสุดบอกว่าปัญหาชายแดนใต้จะจบใน 1 ปี เหมือนกับครั้งก่อนที่บอกว่าโจรกระจอกจบใน3 เดือน ประชาชนจึงมองว่าเป็นเพียงวาทะทางการเมือง

แต่หากมองผลสัมฤทธิ์จากโครงสร้างการแก้ไขปัญหา กฎหมายที่เกี่ยวข้อง บริบทสภาวะแวดล้อม อย่างที่บอกว่าจะนำนโยบาย 66/23 มาใช้ ตนก็มองว่าหลงโจทย์เพราะบริบทที่ครอบคลุมนั้นแตกต่างกันจึงไม่สามารถนำมาใช้ได้ และแม้นายทักษิณต้องการแก้มือ แต่เมื่อดูนโยบายความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนใต้ของรัฐบาล พบว่าถูกกล่าวถึงเพียงประโยคเดียว แสดงถึงการไม่ให้น้ำหนัก ทั้งที่จริงๆ แล้วเรื่องจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องถือเป็นวาระแห่งชาติและเป็นวาระเร่งด่วน เพราะแม้จะเป็นปัญหาเชิงพื้นที่แต่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของประเทศไปทั้งโลกมุสลิมและทั่วโลก

ส่วนคำถามว่าอะไรทำให้นายทักษิณ มั่นใจว่าขอเวลา 1 ปี จะแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ให้จบ ตนมองว่านายทักษิณยังติดกับชุดความคิดเดิมๆ เช่น การไปพบนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์อิบราฮิม แล้วเชื่อว่าหากดึงมาเลเซีย รวมถึงอินโดนีเซียมาร่วมได้ก็จะมีพลังในการแก้ไขปัญหา แต่จริงๆ “ภัยคุกคามใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความสลับซับซ้อน” จากฐานเดิมของกลุ่มที่มีความคิดสุดโต่งมุ่งแบ่งแยกดินแดน แม้ยังมีอยู่แต่ไม่ได้มีพลังมาก แต่ที่ไปเกิดภัยแทรกซ้อนเพราะรัฐบาลพลาดท่าที่ไม่เกิดความยุติธรรมและสร้างความรุนแรง อย่างเหตุการณ์กรือเซะและตากใบ

“ประกอบกับสถานการณ์ภัยคุกคามใหม่ของโลก มันไปเกิดขึ้นทั่วคืออาชญากรรมทางเทคโนโลยี พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็มีส่วนเกี่ยวข้องเพราะเกี่ยวข้องกับแรงงานเถื่อน แรงงานข้ามชาติ ค้ามนุษย์ แน่นอนผสมยาเสพติดเข้าไปอีก ดังนั้นภัยเหล่านี้มันซ้อนอยู่กับภัยเรื่องอุดมการณ์ด้วย ความยากตรงนั้นเรื่องอุดมการณ์ก็ยากอยู่แล้วเพราะทั้งชาติพันธุ์ ทั้งศาสนา ทั้งวัฒนธรรม ตรงนี้พอมาซ้อนกัน แล้วสถานการณ์ผ่านมา 20 ปี กลไกโครงสร้างที่จะรับมือก็ไม่มีการพัฒนาการไป ฉะนั้นตรงนี้ไม่ง่าย”

แต่หากรัฐบาลต้องการแก้ปัญหาชายแดนใต้จริงๆ 1.ต้องยกระดับนโยบายเร่งด่วนขึ้นมา เรื่องนี้ต้องเป็นวาระแห่งชาติ 2.ต้องชูเรื่องสันติวิธี 3.ชูขีดความสามารถของรัฐบาล จะปรับแก้โครงสร้าง ปรับแก้กฎหมายเพื่อรับมืออย่างไร จึงจะเกิดความเชื่อมั่นในสายตาประชาชน แต่ไม่ใช่ไม่มีกลไกอะไรรับผิดชอบอย่างกรณีตากใบ อายุความ 20 ปี ยังทำให้หมดอายุ กลายเป็นเงื่อนไขเพิ่มขึ้นอีกเพราะหมดอายุความแล้วก็ไม่เห็นว่าจะทำอะไรต่อ ซึ่งแม้คดีจะหมดอายุความ แต่หากพิสูจน์ว่าเรื่องนี้ใครผิด มีการออกมาขอโทษและมีมาตรการเยียวยาความเสียหาย อย่างน้อยก็ยังช่วยบรรเทาได้ แต่เมื่อไม่ทำอะไรเลยจึงไม่เกิดความเชื่อมั่น

ที่สำคัญคือ “พรรคเพื่อไทยสูญเสียความน่าเชื่อถือไปตั้งแต่ตัดสินใจข้ามขั้วจัดตั้งรัฐบาลแล้ว..ดังนั้นประชาชนจะเชื่อก็ต่อเมื่อลงมือทำให้เห็นก่อน” อีกเรื่องหนึ่งคือ “แม้แต่เรื่องเศรษฐกิจที่พรรคเพื่อไทยชอบบอกว่าเป็นทีเด็ด แต่ผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) หากไม่นับเมียนมาที่มีปัญหาสงคราม ไทยก็รั้งท้ายอาเซียน” ส่วนเรื่องความมั่นคงกับเรื่องต่างประเทศ นับตั้งแต่อดีตนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน มาจนถึงนายกฯแพทองธาร ชินวัตร ผ่านมาปีเศษๆ รัฐบาลนี้ก็ยังไม่มีพัฒนาการเชิงบวก

ดังนั้นแล้ว ตนไม่เชื่อว่านายทักษิณจะเอาอยู่ในการแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้แม้กระทั่ง สมช. ก็ยังถูกนักวิชาการบางท่านตั้งฉายาว่าสภาความมึนงงแห่งชาติ อย่างตนเคยเป็นเลขาฯ สมช. คำถามที่เจอเสมอเวลาไปพูดคุยสันติสุข คือไปคุยถูกคนหรือไม่ แต่ก็ต้องให้กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ เพราะการไปคุยไม่ใช่จินตนาการขึ้นมาว่าคนคนนี้ควรไปคุยด้วย แต่มาจากข้อมูลข่าวกรองทั้งฝ่ายไทย มาเลเซียและโลกมุสลิม ขบวนการ BRN มีอิทธิฤทธิ์ มีกองกำลัง ก็ต้องไปคุยแล้วก็เกิดพัฒนาการ

“ปัญหาว่า ณ ตอนนี้ ถ้าเราดูนโยบายของรัฐบาลและชุดความคิด ติดกับดักเดิมแล้วยังไม่เข้าใจโจทย์พื้นๆ ก็ไม่เข้าใจ แล้วอย่างนี้จะคาดหวังได้อย่างไร จริงๆ แล้วการพูดคุย เมื่อมีนโยบายว่าใช้สันติวิธี เครื่องมือกลไกสำหรับสันติวิธีคือการพูดคุย คณะพูดคุยจะมีประสิทธิภาพ มีผลสัมฤทธิ์ ก็ขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อการพูดคุย นั่นก็คือพื้นที่ของการพูดคุยจะต้องมีสิทธิเสรีภาพทำให้พูดคุย หมายความว่ากฎหมายที่เป็นกฎหมายพิเศษมาจำกัดสิทธิเสรีภาพมันต้องมีน้อยหรือไม่มีเลย เพื่อจะเอื้อต่อการพูดคุย มันถึงจะเกิดผลสัมฤทธิ์”

แต่เมื่อดูพื้นที่ มีทั้งใช้กฎอัยการศึก ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ซึ่งอาจต้องลดลงบ้าง ให้มีพอเป็นน้ำจิ้ม แต่ก็ยังไม่เอื้อต่อการพูดคุย ซึ่งการพูดคุยต้องเริ่มจากการทำให้เกิดความไว้วางใจกันก่อนแล้วจึงไปถึงการพิสูจน์ฝีมือ เมื่อไว้วางใจได้ รับฟังกัน การพิสูจน์ฝีมือก็เริ่มจากการเริ่มสร้างพื้นที่ปลอดภัย ซึ่งไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนชี้แต่ต้องไปคุยกับประชาชนในพื้นที่ว่าอยากได้พื้นที่ใดแล้วมาเริ่มทำกัน

ขณะเดียวกัน ด้วยความที่พื้นที่มีความหลากหลาย เป็นพหุวัฒนธรรมทั้งพุทธ มุสลิมและจีน สิ่งที่จะทำให้อยู่ร่วมกันได้คือกระบวนการอำนวยความยุติธรรม ที่ต้องยุติธรรม เป็นธรรมและทันเวลา สิ่งเหล่านี้ต้องยืนอยู่ตลอดเวลา รัฐต้องมีพัฒนาการ โดยสรุปอยู่ที่ 2 ข้อ 1.มีกระบวนการอำนวยความยุติธรรม กับ 2.สร้างพื้นที่ปลอดภัย หากทำได้
2 ข้อนี้ สถานการณ์ชายแดนใต้จะคลี่คลายลง ส่วนที่ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม บอกว่าขอดูสถานการณ์ช่วงเดือนรอมฎอนก่อน ตนมองว่าสามารถทำได้เลยทันที

ส่วนการลงพื้นที่ของนายทักษิณ ที่บอกว่าไปในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน แม้ดูเหมือนนายทักษิณมีพลัง แต่ผลที่ออกมาคือทำให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ไม่มีพลัง จึงต้องดูให้ถูกว่าอะไรเป็นอะไร ขณะเดียวกันสิ่งที่คนต้องการฟังคือชุดความคิด แต่ก็ไม่มี ที่บอกว่า 1 ปีแก้ได้คืออะไร แถมจะถูกถามกลับด้วยว่าเรื่องตากใบไปถึงไหนแล้ว ถึงคดีจะหมดอายุความไปแล้วแต่ช่วยพิสูจน์อะไรมาหน่อยได้หรือไม่ ซึ่งก็ไม่เกิด

ยิ่งมีกรณี พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 และอดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาคดีตากใบที่หมดอายุความไปก็ยิ่งหนักอย่างตนเคยไปช่วยพรรคเพื่อไทยหาเสียงเลือกตั้งในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ แทนที่จะได้พูดเรื่องนโยบาย กลับต้องมาตอบคำถามประชาชนและชี้แจงเรื่องที่พรรคใส่ชื่อ พล.อ.พิศาล ในลำดับต้นๆ ของบัญชีรายชื่อ สส. ตนจึงมองว่าเป็นเรื่องยากในการแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้

“ยากมาก ไม่ใช่ยากธรรมดา จากองค์ประกอบอย่างที่บอก จากภัยคุกคามเดิมก็ยากอยู่แล้ว ยังมาเจอภัยคุกคามที่แทรกซ้อนขึ้นมาในมิติใหม่ อาชญากรรมข้ามชาติและทางเทคโนโลยี แล้วทางเทคโนโลยีมันสื่อที่ทำให้พี่น้องประชาชนเขารับข่าวเร็วแล้วตอนนี้พื้นฐานที่บอกว่าการอำนวยความยุติธรรมมีปัญหา พี่น้องประชาชนก็ไม่ร่วมมือ ข่าวกรองที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหา ตาสับปะรดคือประชาชน พอประชาชนนิ่งเฉยกับเรา จะไปอย่างไรทีนี้ ข่าวกรองอย่างไรมันไม่ขึ้นเบอร์หนึ่งแน่ถ้าประชาชนไม่เอากับเรา”

หมายเหตุ : สามารถรับชมรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ดำเนินรายการโดย บุญระดม จิตรดอน ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันอังคาร-พฤหัสบดี เวลา 11.00-12.00 น.โดยประมาณ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  

Breaking News

ยกทีมศิลปินสุดฮอตเสิร์ฟชอฟต์พาวเวอร์ไทยไปเมียนมาในงาน 'Thai Festival 2025 in Yangon'

'Snow Man'คอนเฟิร์มเสิร์ฟความฟิน บนเวที Summer Sonic Bangkok 2025!

ดุเดือดยิ่งใหญ่! 'มิลลิ, ยัวร์บอยทีเจ, แอทลาส'ระเบิดความสนุก ในงาน'EA SPORTS FC MOBILE FESTIVAL'

'มหัศจรรย์แห่งรัก'การประชันบทบาทของ2นักแสดงชาย'สันติสุข'และ 'ศรัณยู'

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved