“เลี้ยงแพะ” คือหนึ่งในอาชีพดั้งเดิมของเกษตรกรในชุมชนมุสลิมหลายพื้นที่ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื่องจากเลี้ยงง่ายและมีความต้องการจากพี่น้องมุสลิมสูงทั้งใน และนอกพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ แต่ในช่วงปี 2564 เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส่งผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจซบเซา ความต้องการบริโภคเนื้อแพะลดลง สวนทางกับปริมาณเนื้อแพะที่เพิ่มขึ้นจากการลักลอบนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้เกิดภาวะล้นตลาด คนเลี้ยงแพะถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง สุ่มเสี่ยงอาจทำให้อาชีพเลี้ยงแพะลดลงหรือสูญหายไป
ทางออกหนึ่งของการแก้ปัญหาดังกล่าวคือ การเพิ่มความต้องการบริโภคเนื้อแพะในพื้นที่ให้มากขึ้น ด้วยการเปลี่ยนกลุ่มผู้บริโภคเนื้อแพะจากอาหารสำหรับคนมุสลิม มาเป็นอาหารที่คนทุกเพศทุกวัยสามารถรับประทานได้ เช่นเดียวกับเนื้อวัว ด้วยจุดเด่นที่สำคัญคือ “มีโปรตีนสูง ไขมันต่ำ” โดย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ (มทร.สุวรณภูมิ) ได้ดำเนินโครงการวิจัย “การพัฒนาผู้ประกอบการเกี่ยวกับแพะสู่ธุรกิจฮาลาล ด้วยกลไกขับเคลื่อนห่วงโซ่คุณค่าใหม่ เพื่อสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา”
โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจาก หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ภายใต้จากกรอบวิจัย LE (การพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการในพื้นที่ (Local Enterprises) บนฐานทรัพยากรพื้นถิ่นเพื่อสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนในพื้นที่ โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญคือ การยกระดับคุณภาพของเนื้อแพะให้ได้มาตรฐาน และด้วยคุณภาพและผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคทั่วไป
ผศ.สนธยา มูลศรีแก้ว นักวิจัย มทร.สุวรรณภูมิ ผู้รับผิดชอบเรื่องการจัดการฟาร์มแพะ ให้ข้อมูลว่า ข้อมูลจากวิจัยพบว่าเนื้อแพะโตเต็มวัยที่อายุเกิน 1 ปีจะเริ่มมีกลิ่นสาบชัดเจน หากเกษตรกรผู้เลี้ยงแพะสามารถเลี้ยงแพะให้มีน้ำหนัก 20 กิโลกรัมต่อตัว และขายออกไปในเวลาสั้นกว่า 1 ปีก็จะสามารถแก้ปัญหาเรื่องกลิ่นสาบได้ สำหรับกระบวนการเลี้ยงแพะให้ได้มาตรฐานและลดกลิ่นสาบคือ
1.การเลี้ยงแพะพันธุ์ผสมซึ่งโตเร็วกว่าแพะพันธุ์พื้นเมือง 2.อาหารที่ให้คุณค่าทางพลังงาน โปรตีน และแร่ธาตุ ตรงกับความต้องการของแพะ เน้นการใช้วัตถุดิบที่หาได้ในท้องถิ่น เช่น การเปลี่ยนจากข้าวโพดมาเป็นข้าวเปลือก การนำใบและกิ่งของต้นกระถินมาเป็นแหล่งโปรตีนทดแทนถั่วเหลืองที่ต้องซื้อจากภายนอก 3.การถ่ายทอดเทคนิคการจัดการฟาร์มแพะที่ถูกต้องให้กับเกษตรกร
“ซึ่งทั้ง 3 องค์ประกอบนี้ นอกจากจะทำให้ได้เนื้อแพะที่ไม่มีกลิ่นสาบหรือมีกลิ่นสาบน้อยลงแล้ว ยังเป็นการเตรียมพร้อมให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงแพะในการยกระดับสู่การเป็นฟาร์มเลี้ยงแพะที่มีระบบการป้องกันโรคและการเลี้ยงสัตว์ที่เหมาะสม หรือ GFM (Good Farming Management : GFM) ที่จะเป็นโอกาสในการก้าวสู่ตลาดโมเดิร์นเทรดต่อไป” ผศ.สนธยา กล่าว
ผศ.สนธยา กล่าวต่อไปว่า นอกจากนั้น ภายใต้โครงการระยะที่ 1 ยังมีการวิเคราะห์คุณลักษณะของเนื้อแพะในแต่ละส่วน และร่วมกับผู้ประกอบการร้านอาหารในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาพัฒนาเมนูอาหารใหม่ๆ ที่มีเนื้อแพะเป็นวัตถุดิบ เช่น แพะเตี๋ยวเรือ บาร์บิคิวแพะ ไปจนถึงเมนูสากล อาทิ พาสต้าแพะ สเต็กแพะ เป็นต้น ภายใต้คอนเซ็ปต์“แพะกรุงศรี อร่อยดี มีประโยชน์” โดยได้รับการสนับสนุนการออกร้านในงานสำคัญ ๆ ของจังหวัดมาแล้วหลายครั้ง
ผศ.ดร.กนกพร ภาคีฉาย อาจารย์ประจำคณะบริหารธุรกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศ มทร.สุวรรณภูมิ ในฐานะหัวหน้าโครงการ กล่าวว่า คำถามของผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่ยังไม่เคยบริโภคเนื้อแพะก็คือ ความไม่มั่นใจเรื่องมาตรฐานการเลี้ยงแพะ และกลิ่นสาบของเนื้อแพะ ดังนั้นการทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงแพะจำนวน 300 ราย จาก 7 อำเภอ คือ อำเภอวังน้อย อำเภอเสนา อำเภอผักไห่ อำเภออุทัย อำเภอภาชี อำเภอบางปะอิน และอำเภอพระนครศรีอยุธยา ที่เข้าร่วมโครงการในระยะที่ 1 (พ.ศ.2564-2565) มีความรู้และทักษะในการเลี้ยงแพะที่ถูกต้องและเหมาะสม
เพื่อนำไปสู่การผลิตเนื้อแพะที่มีมาตรฐาน สามารถแก้ปัญหาเรื่องกลิ่นสาบได้ ซึ่งกิจกรรมนี้เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคในจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีทัศนคติที่ดี ต่อการบริโภคเนื้อแพะมากยิ่งขึ้น โดยผลจากการดำเนินโครงการระยะที่ 1 ทำให้คนต้นน้ำและผู้ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมแพะของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเห็นเป้าหมายร่วมของการสร้างตลาดใหม่ของเนื้อแพะ และเห็นความสำคัญของการสร้างระบบการจัดการฟาร์มที่ดีตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำภายใต้แนวคิด Farm to Table ร่วมกัน
ดังนั้นในโครงการระยะที่ 2 (พ.ศ.2566 - 2567) จึงต้องการสร้างรูปธรรมของการส่งต่อเนื้อแพะจากเกษตรกรผู้เลี้ยงแพะให้ถึงมือผู้บริโภคกลุ่มใหม่ ๆ โดยเฉพาะคนในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และนักท่องเที่ยว ได้มีโอกาสรับประทานเนื้อแพะคุณภาพภายใต้คอนเซ็ปต์ “แพะคุณภาพดี มีมาตรฐาน บนฐานวัฒนธรรม หรือ HEART of Halal for All” พร้อมกระตุ้นด้วยคำโปรยที่ว่า “แพะกรุงศรี ต้องลอง ถึงรู้ว่าอร่อย”
ความสำเร็จสำคัญของโครงการวิจัยระยะที่ 2 คือ การผลักดันให้เกิด “เขียงแพะ” ซึ่งเป็นข้อต่อสำคัญของห่วงโซ่คุณค่าใหม่ (New Value Chain) ที่สามารถเชื่อมร้อยเกษตรกรผู้เลี้ยงแพะกับตลาดผู้บริโภค ผ่านกระบวนการ “ชำแหละแพะ” ออกมาส่วนๆ เช่น ส่วนน่อง ส่วนสันใน ฯลฯ แทนการขายเป็นตัวให้กับพ่อค้าคนกลางแบบเดิม ถือเป็น “คานงัด” สำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับอุตสาหกรรมการผลิตและจำหน่ายเนื้อแพะของจังหวัด
ทั้งนี้ โครงการแพะกรุงศรีสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงทั้งระดับต้นน้ำและกลางน้ำ ตั้งแต่การสร้างมาตรฐานของการเลี้ยงแพะให้ได้เนื้อแพะที่แก้ปัญหาเรื่องกลิ่นสาบได้เป็นผลสำเร็จ มีฟาร์มแพะที่ผ่านมาตรฐานฟาร์มปลอดโรค GFM จำนวน 3 ฟาร์ม รวมไปถึงการที่สร้างเขียงแพะที่เปลี่ยนรูปแบบการซื้อขายแพะเป็นตัวสู่การขายเป็นส่วนๆ รวมถึงการจัดการปลายน้ำ ด้วยการสร้างผลิตภัณฑ์จากเนื้อแพะภายใต้ชื่อ “แพะกรุงศรี” ทั้งหมดนี้สามารถทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในพื้นที่
“เกิดการบริโภคเนื้อแพะเพิ่มขึ้น 213.12 ตันต่อปี เกิดการใช้ทรัพยากรทางการเกษตรเพิ่มขึ้น 233.6 ตันต่อปี เกิดการจ้างงานใหม่ 156 ตำแหน่ง และเกิดการกระจายรายได้ในพื้นที่ปีละ 99.512 ล้านบาท ขณะที่เกษตรกรผู้เลี้ยงแพะที่เข้าร่วมโครงการ มีรายได้เฉลี่ยจากการเลี้ยงแพะเพิ่มขึ้นจากเดือนละ 6,700 บาท เป็นเดือนละ 87,230.13 บาท’ ผศ.ดร.กนกพร ระบุ
โครงการแพะกรุงศรี คือตัวอย่างที่ดีของการนำแนวคิด “คน-ของ-ตลาด” มาใช้ในการวิเคราะห์ความต้องการของตลาด ก่อนจะมองย้อนกลับไปต้นน้ำ เพื่อหา Pain Point ที่แท้จริงของปัญหา ก่อนพัฒนาเป็นโจทย์วิจัยและกระบวนการทำงานที่ดำเนินการร่วมกับผู้ประกอบการในพื้นที่อย่างใกล้ชิด จนเกิดเป็นผลลัพธ์ที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับทุกภาคส่วนอย่างเป็นรูปธรรม!!!
หมายเหตุ : หน่วยบริหารและจัดการทุนเพื่อการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) เป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (อว.) มีเป้าหมายหลักคือการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและความเข้มแข็งของชุมชน ให้มีศักยภาพในการแข่งขัน สามารถพึ่งพาตนเองได้และกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่น
SCOOP.NAEWNA@HOTMAIL.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี