"พระที่ต้องปาราชิก ย่อมรู้แก่ตนเองว่าต้องปาราชิกแล้ว หมดจากความเป็นพระแล้ว ความจริงไม่ต้องเปล่งวาจาคำลาสิกขา ถอดจีวรเลยได้ทันที เพราะหมดจากความเป็นพระแล้ว"
ในสังคมไทย เรามักคุ้นชินกับภาพพระภิกษุสงฆ์ผู้ครองผ้ากาสาวพัสตร์ แต่ในทางพระธรรมวินัยแล้ว การนุ่งห่มจีวรไม่ได้เป็นสิ่งเดียวที่ยืนยันสถานะความเป็นพระภิกษุเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของ "อาบัติปาราชิก" ซึ่งเป็นข้อยกเว้นสำคัญที่กำหนดไว้ในพระพุทธศาสนา และเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงบ่อยครั้งในช่วงที่ผ่านมา
"ปาราชิก" คืออาบัติที่ร้ายแรงที่สุดในพระธรรมวินัย เมื่อภิกษุรูปใดต้องอาบัตินี้แล้ว ย่อมถือว่าขาดจากความเป็นภิกษุโดยอัตโนมัติทันที เสมือนบุคคลนั้น "ตายจากความเป็นพระ" ไม่สามารถกลับมาเป็นภิกษุได้อีกในชาตินั้น แม้จะไปบวชใหม่กี่ครั้งก็ตาม ก็จะไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นภิกษุที่แท้จริงอีกต่อไป
อาบัติปาราชิกมี 4 ข้อหลัก ได้แก่
เสพเมถุน การมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะกับมนุษย์หรือสัตว์ และไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่
ลักทรัพย์ การขโมยทรัพย์สินที่เจ้าของไม่ได้อนุญาต โดยมีมูลค่าเทียบเท่าหรือมากกว่าที่กำหนดไว้ในพระวินัย
ฆ่ามนุษย์ การเจตนาฆ่ามนุษย์ หรือการยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นฆ่ามนุษย์
อวดอุตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน การอ้างอวดคุณวิเศษที่เหนือมนุษย์ เช่น อ้างว่าได้ฌาน, อภิญญา, มรรคผลนิพพาน ทั้งที่ตนเองไม่ได้มีคุณวิเศษเหล่านั้นจริง ด้วยความตั้งใจที่จะให้คนอื่นเข้าใจผิดและยกย่องตน
หัวใจสำคัญของอาบัติปาราชิกคือการ ขาดจากภาวะแห่งความเป็นสงฆ์โดยทันที ที่ภิกษุรูปนั้นกระทำอาบัติสำเร็จตามองค์ประกอบครบถ้วน การขาดจากสถานะความเป็นภิกษุจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องรอการตัดสินจากคณะสงฆ์ การประกาศใดๆ หรือแม้แต่การประกอบพิธีลาสิกขา
เหตุผลเบื้องหลังแนวคิดนี้คือพระธรรมวินัยกำหนดไว้ชัดเจนว่าการกระทำเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ในเพศบรรพชิต เมื่อล่วงละเมิดแล้ว สถานะก็ย่อมเปลี่ยนไปในทันที ผู้ที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาย่อมได้รับการอบรมและศึกษาพระธรรมวินัยมาเป็นอย่างดี จึงย่อมรู้แก่ใจตนเองว่าการกระทำใดบ้างที่นำไปสู่อาบัติปาราชิก เมื่อได้กระทำลงไปแล้ว ก็ย่อมตระหนักดีว่าตนได้พ้นจากสถานะความเป็นภิกษุแล้ว การลาสิกขาหรือการถอดจีวรเป็นเพียงพิธีการทางโลกที่แสดงออกถึงการเปลี่ยนสถานะ แต่ในทางธรรมวินัย สถานะได้เปลี่ยนไปก่อนหน้านั้นแล้วด้วยการกระทำอาบัติปาราชิกสำเร็จ
ดังนั้น แม้บุคคลนั้นจะยังคงครองผ้ากาสาวพัสตร์อยู่ก็ตาม ในทางพระธรรมวินัยถือว่าบุคคลนั้นได้พ้นจากสถานะความเป็นภิกษุไปแล้วโดยสมบูรณ์ และควรที่จะปฏิบัติตนตามสถานะที่แท้จริงคือการเป็นฆราวาสต่อไป การยังคงอยู่ในสมณเพศทั้งที่ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ถือเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งและเป็นภัยต่อพระศาสนา
การเข้าใจหลักพระธรรมวินัยในเรื่องอาบัติปาราชิกนี้ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยธำรงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ของพระพุทธศาสนา และแยกแยะระหว่างผู้ที่ยังคงเป็นภิกษุโดยสมบูรณ์ กับผู้ที่ได้ขาดจากความเป็นภิกษุไปแล้ว แม้จะยังครองจีวรอยู่ก็ตาม - 001
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี