วันเสาร์ ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ข่าว Like สาระ
‘อิทธิพลคนรอบข้าง’ วิจัยชี้‘มีผล’ตัดสินใจ

‘อิทธิพลคนรอบข้าง’ วิจัยชี้‘มีผล’ตัดสินใจ

วันเสาร์ ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 07.00 น.
Tag : งานวิจัย ตัดสินใจ อิทธิพลคนรอบข้าง
  •  

“ทำไม Social Network Analysis (การวิเคราะห์เครือข่ายทางสังคม) กลายเป็น Tool (เครื่องมือ) ใหม่ที่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนต้องการ? เพราะเราได้แก้ไขข้อจำกัดสมมติฐานเชิงเศรษฐศาสตร์ 2 อย่าง ข้อแรกก็คือความเป็นปัจเจกบุคคล คือสมัยก่อนเราเชื่อว่ามนุษย์ตัดสินใจหรือกระทำบางอย่างโดยไม่ได้พึ่งพาคนอื่นเลย ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวฉันอย่างเดียว ฉันพอใจฉันเลยทำ

แต่จริงๆ แล้วในโลกแห่งความเป็นจริงมนุษย์เราทั้งสำรวจ ทั้งสังเกต แล้วก็รวบรวมข้อมูลจากผู้อื่นในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ครอบครัว Social Sentiment (ความรู้สึกทางสังคม) เป็นความเห็นเชิงเชิงสังคม ก่อนการตัดสินใจเสมอ แล้วก็ได้รับการโน้มน้าวจากคนพวกนั้นด้วย ก็คือเรื่องของ Peer Influence (อิทธิพลจากคนรอบข้าง) หรือ Peer Effect (ผลกระทบจากคนรอบข้าง) ดังนั้น Social Network ตอบโจทย์ตรงนี้ตรงๆ เพราะเราสามารถมีสมมติฐานเพิ่มขึ้นว่านาย A รู้จักกับนาย B ดังนั้นการตัดสินใจของนาย A อาจได้รับผลกระทบจากนาย B ด้วย”


กฤษฏิ์ ภัณฑ์กิจนิรันดร  อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในการบรรยาย (ออนไลน์) หัวข้อ “Social Network Analysis” โดยคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อช่วงกลางเดือน ก.ค. 2568 ที่ผ่านมา อธิบายความสำคัญของ “การวิเคราะห์เครือข่ายทางสังคม (Social Network Analysis)” แนวคิดซึ่งได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วงหลังๆ ในการวิเคราะห์การเลือกทำหรือไม่ทำอะไรของมนุษย์ 

หลักคิดนี้พยายามจะชี้ให้เห็นว่า “คนรอบข้างหรือกระแสสังคมมีผลต่อการตัดสินใจของมนุษย์” ซึ่งแตกต่างจากความเชื่อดั้งเดิม ว่า 1.มนุษย์ตัดสินใจด้วยตนเองแบบปัจเจก (Individual) โดยไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น กับ 2.มนุษย์ใช้เหตุผล (Rationality) ในการตัดสินใจเสมอ โดยมีตัวอย่างจากผลการศึกษาที่น่าสนใจ เช่น การเข้ารับวัคซีนโควิด-19 โดยการใช้การวิเคราะห์เครือข่ายทางสังคมในมลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา

งานวิจัยดังกล่าวมีชื่อว่า “Dynamic Interactions Between Peer Effects and Trust in Information Sources : Implications for COVID-19 Vaccination Uptake and Public Health Straegies)” ซึ่งหากจำกันได้ ช่วงที่มีการณรงค์ให้คนเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นความท้าทายอย่างมาก หลายคนก็ไม่เชื่อถือรัฐบาล หรือเกิดความลังเลว่าจะไปฉีดดีหรือไม่ แต่ก็มีอีกหลายคนที่พร้อมออกไปรับวัคซีนตั้งแต่วันแรกๆ ที่เริ่มเปิดให้ฉีด

สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นไม่ต่างกันไม่ว่าในไทยหรือสหรัฐฯ แม้ในสหรัฐฯ จะใช้วัคซีนที่หลายคนค่อนข้างเชื่อถืออย่างไฟเซอร์ (Pfizer) และโมเดอร์นา (Moderna) ก็ตาม แต่ความรู้สึกไม่มั่นใจในสังคมอเมริกันก็ยังมีอยู่ ซึ่งในปี 2565 มีการนำเสนองานวิจัยที่ว่าด้วย “การไว้วางใจต่อข้อมูลไม่ว่าทางการหรือไม่เป็นทางการส่งผลอย่างมากต่อการฉีดวัคซีน” ตั้งสมมติฐานในเวลานั้นว่า การที่คนคนหนึ่ง (ในสหรัฐฯ) จะไปฉีดวัคซีนจะมาจาก 2 ปัจจัย คือ  

1.แหล่งข้อมูลทางการ เช่น แพทย์หรือโรงพยาบาล รัฐบาลกลาง รัฐบาลท้องถิ่น กับ 2.แหล่งข้อมูลไม่เป็นทางการ เช่น สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) สำนักข่าวบางแห่ง อย่างไรก็ตาม “หากดูงานวิจัยในเรื่องอื่นๆ ก่อนหน้านั้น ก็พบว่าคนรอบข้าง (เช่น เพื่อนหรือครอบครัว) มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของคนคนหนึ่งเช่นกัน” อาทิ การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ (เพื่อนฉีดกันทั้งกลุ่มเราก็ต้องฉีดบ้าง) พฤติกรรมสุขภาพ (เพื่อนชวนไปออกกำลังกายเราก็ไป) การเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ (เพื่อนใช้นาฬิกาอัจฉริยะ – Smartwatch เราก็ยังถามเพื่อนว่าใช้แล้วเป็นอย่างไรบ้าง)

ดังนั้นการที่คนจะเลือกฉีดหรือไม่ฉีดวัคซีนโควิด-19 คนรอบข้างก็น่าจะมีผลด้วย หมายถึงคนคนหนึ่งปรับพฤติกรรมของตนเองให้สอดคล้องกับคนรอบข้างในเครือข่ายของตน นำมาซึ่งการลงมือศึกษาในเรื่องนี้ งานวิจัยนี้เก็บข้อมูลตลอดทั้งปี 2564 จำนวน 2,319 คน ซึ่งในบริบทของสหรัฐฯ การตรวจโควิด-19 ต้องเสียค่าใช้จ่าย (ต่างจากไทยในช่วงเวลาเดียวกันที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย) คณะผู้วิจัยจึงเน้นกลุ่มตัวอย่างเป็นคนที่เข้าไม่ถึงบริการ กล่าวคือ ในสหรัฐฯ ค่าตรวจโควิด-19 จะอยู่ที่ 200 – 300 เหรียญสหรัฐ ซึ่งสำหรับคนหาเช้ากินค่ำถือว่าเป็นเงินจำนวนไม่น้อย

“เวลาเราสำรวจเรื่องนี้ ทุกคนจะไม่เคยคิดถึงคนในครอบครัวตัวเอง เพราะว่าพอเราถามว่าเป็นคนรู้จัก คนก็จะคิดถึงเพื่อน เจ้านาย ลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน ดังนั้นทุกคนก็จะไม่ค่อยคิดถึงเรื่องครอบครัวของตัวเอง เราก็เลยเติมเต็มตรงนี้ ก็คือเรามีสมมติฐานถ้าเขาบอกว่าร่วมอยู่ที่อยู่เดียวกัน เราจะนับว่าเขารู้จักกันไปด้วย เพื่อให้เครือข่ายตรงนี้สามารถ Capture (จับรวม) คนที่อยู่บ้านเดียวกัน ซึ่งเรามีสมมติฐานอาจเป็นคนในครอบครัว ญาติ ลูกพี่ลูกน้อง พ่อแม่ อะไรประมาณนี้” อ.กฤษฏิ์ กล่าว

อ.กฤษฏิ์ กล่าวต่อไปว่า เมื่อทางการสหรัฐฯ เปิดให้ประชาชนฉีดวัคซีนโควิด-19 ในช่วง 3 เดือนแรก พบคนที่มาฉีดน่าจะไม่ใช่คนที่เชื่อมั่นในวัคซีนมากนักแต่เพราะเชื่อเพื่อนมากกว่า แต่หลังจากนั้นพบว่ากลุ่มที่มาฉีดวัคซีนเพราะเชื่อเพื่อนลดลงในขณะที่กลุ่มที่มาฉีดเพราะเชื่อรัฐบาลเพิ่มขึ้น แต่ในช่วงเวลาเดียวกันกลับพบปัจจัยจากแหล่งข้อมูลที่ไม่เป็นทางการ เป็นปัจจัยทำให้คนลังเลมากขึ้นในการมาฉีดวัคซีน และช่วงสุดท้ายจะพบความแตกต่างชัดเจน คือคนที่เชื่ออย่างไรก็จะเชื่อเช่นนั้นไม่ว่าจะเป็นฝั่งของคนที่มาหรือไม่มาฉีดวัคซีนก็ตาม

เมื่อศึกษาลึกลงไปถึงปัจจัยการเชื่อหรือไม่เชื่อเพื่อน (หรือคนรอบข้าง – Peer Effects) จะพบตัวแปรสำคัญ 1.อายุ เมื่อแบ่งกลุ่มตัวอย่างตามอายุ จะพบว่า ในช่วงแรกที่เปิดให้ฉีดวัคซีนโควิด-19 กลุ่มคนหนุ่ม – สาว (อายุ 18 – 35 ปี) จะเป็นกลุ่มที่เชื่อเพื่อนแล้วมาฉีดวัคซีนมากที่สุด แต่หลังจากนั้นจะไม่แตกต่างจากช่วงวัยอื่นๆ (วัยกลางคน อายุ 36 – 65 ปี และผู้สูงวัย อายุ 66 ปีขึ้นไป) สะท้อนภาพว่าคนหนุ่ม – สาวมักมีแนวโน้มเชื่อเพื่อนมากกว่าคนวัยอื่นๆ

2.เชื้อชาติ (หรือชาติพันธุ์) ซึ่งเป็นปัจจัยเฉพาะของสังคมอเมริกัน เนื่องด้วยสหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีความหลากหลายสูง ต่างจากสังคมไทยที่คนค่อนข้างเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันมากกว่า โดยพบว่า กลุ่มคนชาติพันธุ์ฮาวายที่มาฉีดวัคซีนมากในช่วงแรกๆ คือกลุ่มที่มาเพราะเชื่อเพื่อน ต่างจากกลุ่มเชื้อสายเอเชียและกลุ่มคนผิวขาว (ฝรั่งตะวันตก) ที่ดูจะไม่ค่อยเชื่อเพื่อนเท่าใดนักในการเลือกมาฉีดวัคซีน 3.ความเชื่อในข้อมูล หากเชื่อข้อมูลสูงอยู่แล้วก็จะไม่ค่อยเชื่อเพื่อน (หรือคนรอบข้าง) แต่หากไม่ค่อยเชื่อข้อมูลก็จะมักเชื่อคนรอบข้างมากกว่า

บทสรุปของการศึกษานี้ 1.ความไว้วางใจเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมการฉีดวัคซีน 2.ผลกระทบจากเพื่อน (หรือคนรอบข้าง) มีอยู่จริงในเครือข่ายการฉีดวัคซีน แต่ก็เป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มโอกาสที่คนจะไปฉีดวัคซีนด้วย และ 3.ทั้งความไว้วางใจแหล่งข้อมูลและผลกระทบจากเพื่อนเป็นปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงได้ และสำคัญเท่าเทียมกันในการกำหนดพฤติกรรมของแต่ละบุคคล      

ถึงกระนั้น อ.กฤษฏิ์ ย้ำถึงข้อจำกัดในงานวิจัยดังกล่าว 1.ความไว้วางใจไม่ได้ถูกวัดอย่างต่อเนื่อง เพราะการวัดเพียงครั้งเดียวอาจไม่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ซึ่งจริงๆ แล้วควรเก็บข้อมูลเป็นรายเดือนเพื่อให้เห็นแนวโน้มของความเปลี่ยนแปลง 2.ไม่รู้ว่าช่วงเวลาที่ได้ฉีดวัคซีนของกลุ่มตัวอย่างตรงกับช่วงเวลาที่คนคนนั้นต้องการฉีดวัคซีนหรือไม่ ซึ่งสหรัฐฯ ก็ไม่ต่างจากประเทศไทย ที่การฉีดวัคซีนต้องจองคิวและต้องรอให้มีวัคซีนเข้ามา   

“ขอสรุปอีกรอบว่า Trust (ความเชื่อมั่น) หรือความเชื่อถือต่อข้อมูลก็ยังสำคัญอยู่ เป็นปัจจัยหลักอยู่ แต่มันมีอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญพอๆ กันก็คือเรื่องของการเชื่อเพื่อน อิทธิพลจากเพื่อน (Peer Effect) ที่สำคัญทั้ง 2 อย่างมัน Dynamic (มีพลวัติ) มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราเห็นได้ว่ามันไม่ใช่การ Constant Rate (อัตราคงที่) เลยในการที่คนกลุ่มคนหนึ่งได้รับ (วัคซีน) โควิด แล้วที่สำคัญก็คือทั้ง Peer Effect ทั้ง Trust ทดแทนกันได้นะแต่แค่ในระดับหนึ่ง” อ.กฤษฏิ์ กล่าวในช่วงท้ายของการบรรยาย   

SCOOP.NAEWNA@HOTMAIL.COM

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  

Breaking News

ทอ. เตรียม AT-6 จำนวน 8 ลำ ลาดตระเวนตรวจการชายแดน 7 ส.ค. นี้

‘อนุทิน’มั่นใจปม‘เขากระโดง’ทำถูกต้อง ลั่นใครทำอะไร ต้องรับผิดชอบผลลัพธ์

‘พิชิต’ย้ำ‘อิ๊งค์’ต้องลาออก เซ่นปมคลิป‘อังเคิลฮุน’ จับตา‘จตุพร’ประกาศท่าทียกระดับม็อบ

ไม่เข็ดก็จับอีก! ตร.เมืองกาฬสินธุ์ ‘รวบเด็กแว้น’ ยึดจยย.ซิ่งเสียงดัง 9 คัน

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved