พระอลงกตอ่วม!
สาวบุกร้องกองปราบฯจี้สอบ
เคยบริจาคเงิน5ล้าน
ชี้เข้าข่ายฉ้อโกงปชช.
‘สุชาติ’ฮึ่ม!พร้อมฟัน
พศจ.ลพบุรีเกียร์ว่าง
ผู้เสียหาย“หนึ่ง บางปู”บุกแจ้งความกองปราบฯสอบ“หลวงพ่ออลงกต”หลังพบพฤติกรรมน่าสงสัย ใช้ใบสุทธิปลอม-โอนเงินผิดปกติ หอบหลักฐานบริจาคเงิน 5 ล้านบาท ถวาย
ให้อดีตสมภารวัดพระบาทน้ำพุ ส่วนปลัดมท.ยันเลข 13 หลักบัตรปชช.หลวงพ่ออลงกต คนละคนกับคนตาย สั่ง ปค.สอบเพิ่ม ด้าน ‘สุชาติ’ ฮึ่ม พศจ.ลพบุรี เกียร์ว่าง จ่อตั้งกรรมการสอบฯ
เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) น.ส.วรัชญากรณ์ หรือ ‘หนึ่ง บางปู’ ผู้เสียหาย พร้อมด้วยนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความ นำหลักฐานเป็นภาพการบริจาคเงินสด และสิ่งของ ที่ถวายให้กับพระราชวิสุทธิประชานาถ หรือหลวงพ่ออลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน บก.ป.เพื่อขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง หลังจากพบพฤติกรรมน่าสงสัย
น.ส.รัชญากรณ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้มีการบริจาคเงินสดหลายครั้ง รวมประมาณ 5 ล้านบาท และยังมีสิ่งของอุปโภคบริโภคอีกจำนวนมาก ซึ่งทุกครั้งไม่เคยขอใบอนุโมทนาบัตร เพราะเลื่อมใสศรัทธาและเชื่อถือหลวงพ่ออลงกต แต่เมื่อเห็นข่าวว่าอดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ มีพฤติการณ์ที่น่าสงสัยหลายอย่าง จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเข้าแจ้งความเพราะรู้สึกเสียใจ และต้องการให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง
น.ส.รัชญากรณ์ ตั้งข้อสังเกตการรับบริจาคของวัด ว่าที่ผ่านมา รูปแบบคือจะมีการโอนเงินผ่านเข้ามูลนิธิใจฟ้าประชานาถ ก่อนที่จะถูกโอนต่อไปยังบุคคลอื่น นอกจากนี้ยังพบว่าหลวงพ่อได้ทำแอปพลิเคชั่น ให้ตนช่วยทำการตลาด ขายสินค้า เครื่องสำอาง ยาสีฟัน ของอุปโภคบริโภค อ้างว่าเป็นการช่วยกลุ่มรัฐวิสาหกิจที่ จ.นครราชสีมา และนำเงินไปช่วยเหลือผู้ป่วยในวัด รูปแบบคือมีตัวแทนจำหน่ายที่มารับสินค้าไปขายโดยจะได้ค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์ ซึ่งบริษัทดังกล่าวใช้ชื่อผู้อื่น เป็นเจ้าของเป็นลูกศิษย์คนหนึ่ง เบื้องต้นเชื่อว่าอาจไม่ได้เป็นการช่วยเหลือผู้ป่วย รวมถึงกลุ่มวิสาหกิจชุมชนตามที่กล่าวอ้าง
ด้านนายรณณรงค์ เปิดเผยว่า ขณะนี้พบข้อหาที่เข้าข่ายเป็นความผิดเบื้องต้น คือ 1.ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 หลังจากพบพฤติการณ์โอนเงินที่ผิดปกติ 2.ความผิดเกี่ยวกับการให้ข้อมูลเท็จกับเจ้าหน้าที่รัฐ 3.กรณีนำข้อมูลที่ไม่ตรงกับบัตรประชาชนไปแจ้งในใบสุทธิขณะอุปสมบท และ 4.การนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ฯ กรณีนำใบสุทธิที่อาจไม่ใช่ของจริงไปเปิดบัญชีเพื่อรับบริจาคเงินผ่านรูปแบบออนไลน์ และหากมีการใช้ใบสุทธิปลอมจริง ก็จะเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชนด้วย
นายรณรงค์ กล่าวถึงการแถลงข่าวของวัดพระบาทน้ำพุ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งกรรมการวัด ระบุว่า ไวยาวัจกรวัดคนเก่า เป็นคนทำประวัติหลวงพ่อขึ้นมา หลวงพ่อไม่รู้เรื่องนี้ ว่าอย่าโยนความผิดให้คนตาย ส่วนกรณีเลข 13 หลักบัตรประชาชน เรื่องนี้ให้ไปถามหลวงพ่อโดยตรง เพราะเจ้าตัวจะเป็นคนรู้ดีที่สุด ว่าเอาเลขบัตรประชาชน 13 หลักของคนตาย ไปทำอะไรเอาไว้บ้าง เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะต้องให้หลวงพ่อออกมาชี้แจงเองหรือไม่ นายรณรงค์ กล่าวว่า หลวงพ่อไม่ต้องออกมาแล้ว เพราะเดี๋ยวเขาก็เชิญมาสอบ
วันเดียวกัน นายอรรษษิฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีเลขประจำตัวประชาชนของหลวงพ่ออลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ ตรงกับนายอลงกต พลมุข ข้าราชการกรมชลประทาน ที่เสียชีวิตไปแล้ว ว่ากรมการปกครอง ได้ชี้แจงแล้วว่าเลขบัตรประจำตัวของหลวงพ่ออลงกต ที่นามสกุลเดิมพูลมุข มีสระอู แต่นายอลงกต พลมุข ที่เสียชีวิตไปแล้วไม่มีสระอู ซึ่งเป็นคนละคนกัน และเลขบัตรประจำตัวประชาชนก็คนละเลขกัน แต่การนำเลขบัตรประจำตัวประชาชนไปทำธุรกรรมของธนาคาร ต้องตรวจสอบให้แน่ชัด ว่าทำไมถึงใช้เลขบัตรของผู้ที่เสียชีวิต อย่างไรก็ตาม ได้ให้กรมการปกครอง ตรวจสอบในส่วนที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม โดยใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ถึงจะทราบผล
ผู้สื่อข่าวถามว่า กองทุนอาทรประชานารถ ของวัดพระบาทน้ำพุ นำเลขบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วไปเปิดเป็นพร้อมเพย์ นายอรรษิษฐ์ กล่าวว่า ต้องตรวจสอบว่าทำไมถึงใช้เลขของผู้เสียชีวิตไปเปิดเป็นกองทุน เพราะจริงๆ แล้ว เลขของหลวงพ่ออลงกตนั้นเป็นคนละเลขกัน ต้องตรวจสอบคนที่นำไปใช้ เราไม่แน่ใจว่าคนที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ดำเนินการอย่างไร
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุชาติ ตันเจริญ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบประวัติหลวงพ่ออลงกต ว่าที่เห็นได้ชัดจากเหตุการณ์ตั้งแต่เริ่มบวช โดยบัญชีสัทธิวิหาริก วัน เดือน ปี เกิด ไม่ตรงกับใบสุทธิ รวมถึงการเปลี่ยนชื่อเป็นนายเกรียงไกร เพ็ชร์แก้ว และสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับมูลนิธิ เมื่อถามว่ามูลนิธิเกี่ยวข้องอย่างไรกับวัด ก็ไม่มีใครกล้าตอบ ตรงนี้ให้ พศ.ไปสอบสวนอยู่ และเมื่อเราบริจาค 1 บาทให้กับมูลนิธิ แต่มูลนิธิเป็นของวัด นั่นแสดงว่าเงินต้องเป็นของวัด
“เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้เราฉุกคิดได้ว่าจะต้องสังคายนา ปฏิรูปวงการพระพุทธศาสนา ซึ่งจะมีการปรึกษากับมหาเถรสมาคม (มส.) ว่าถึงเวลาหรือยังที่เราจะสังคายนาพระภิกษุทั้งประเทศ ยอมให้มีการทำประวัติ ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ รวมถึงการตรวจบัญชีทรัพย์สิน ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้พระเสียผู้เสียคน เสียความเป็นสมณเพศ เพราะมีทรัพย์สินโดยที่คนไม่รู้ว่าเป็นเงินของวัดหรือเงินส่วนตัว” นายสุชาติ กล่าว
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ก่อนจะสังคายนาพระ ต้องมีการสังคายนา พศ.เสียก่อน โดยนางอุดมพร เอกเอี่ยม รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ผอ.พศ.คนใหม่ และนายอิทธิพร จันเอี่ยม ผอ.พศ.คนปัจจุบัน จะมาพบและรับมอบนโยบายจากตน ว่าสำนักพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) แต่ละจังหวัดต้องรู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในวัดที่จังหวัดตัวเองรับผิดชอบ
“จ.ลพบุรี ที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมาหลายปี ทำไม พศจ.ลพบุรี ไม่รู้เรื่อง ไม่มีข้อมูล จนปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อมูลอะไรเลย ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะต้องสังคายนา พศ.อย่างกรณี พศจ.ลพบุรี ต้องไปดูว่าคนเก่าทำอะไรไว้ และทำไมคนปัจจุบันไม่ทำงาน ควรที่จะเอาเข้ามาอยู่สำนักงานที่พุทธมณฑล แล้วหรือยัง ควรที่จะเปลี่ยนคนทำงานแล้วหรือยัง โดยจะให้ ผอ.พศ.พิจารณาตั้งคณะกรรมการตรวจสอบความหย่อนยาน ความบกพร่อง ประสิทธิภาพในหน้าที่ ทั้งที่ให้นโยบายไปแล้ว ตรงนี้ถือว่าไม่สนองนโยบาย” นายสุชาติ กล่าว
ต่อข้อถามว่า กรณีของหลวงพ่ออลงกตที่มีความผิดชัดเจนในเรื่องการเก็บศพผู้ป่วยโรคเอดส์ไว้ และข้อสังเกตเรื่องเลขบัตรประชาชน พศ.จะดำเนินการอะไรได้บ้าง นายสุชาติ กล่าวว่า ให้ ผอ.พศ.ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบว่าจะดำเนินการอะไร ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือหย่อนยานหรือไม่ เพราะสื่อรู้ ประชาชนรู้ แต่ พศจ.ลพบุรี ไม่รู้ เมื่อถามย้ำว่า พศ.ได้รายงานแล้วหรือยังว่าได้มีการพูดคุยกับหลวงพ่ออลงกตแล้วหรือยัง นายสุชาติ กล่าวว่า ยังไม่ได้รับรายงานอะไรเลย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี