28 สิงหาคม 2568 นายบรรจง นะแส เจ้าของรางวัลสันติประชาธรรม และปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาสมาคมรักษ์ทะเลไทย ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ทำงานร่วมกับกลุ่มประมงพื้นบ้านมายาวนาน ได้โพสต์เฟสบุ๊ค บรรจง นะแส ระบุว่า
จดหมายเปิดผนึก ถึงรัฐบาล สมาชิกรัฐสภา และ คณะกรรมาธิการร่วมกันสองสภา กรณีมาตรา69 อวนล้อมจับตาถี่ในเวลากลางคืน
ตามที่ทราบกันแล้วว่าขณะนี้คณะกรรมาธิการร่วมกันขอ งสองสภาได้พิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายประมงเกือบเสร็จสิ้นแล้ว เหลือประเด็นเดียวที่ประชาชนในสังคมมีความเห็นแย้งว่า รัฐสภาไทย ไม่ควรเปิดช่องให้มีการใช้ “อวนล้อมจับที่มีขนาดช่องตาอวนเล็กกว่า2.5 ซม.ทำการประมงในเวลากลางคืน” ซึ่งหมายถึง “การใช้เครื่องปั่นไฟส่องสว่างล่อสิ่งมีชีวิตในทะเล สัตว์น้ำเศรษฐกิจวัยอ่อนและสัตว์น้ำขนาดเล็ก มารวมฝูง แล้วตีวงล้อมจับด้วยอวนตาถี่ขนาด 6 มิลลิเมตร”
การทำประมงด้วยเครื่องมือนี้ในเวลากลางคืนประกอบแสงไฟล่อ จะทำลายห่วงโซ่อาหารในระบบนิเวศทะเล โดยดึงเอาสิ่งมีชีวิตในฐานปิรามิดห่วงโซ่อาหารขนาดเล็กชั้นเดียวกันออกจากระบบมากเกินไป กระทบต่อสัตว์น้ำเศรษฐกิจและสัตว์น้ำหายากในระบบนิเวศทะเลไทยในชั้นปิรามิดห่วงโซ่อาหารที่สูงกว่า และจะมีผลกระทบลุกลามไปยังกลุ่มผู้ใช้ทรัพยากรทางทะเลอื่นๆ เช่น ชาวประมงพื้นบ้านขนาดเล็กและชาวประมงพาณิชย์อื่นๆ ที่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรสัตว์น้ำในขนาดที่มีคุณค่าและมูลค่ามากกว่า รวมถึงกลุ่มผู้ใช้ทรัพยากรสัตว์น้ำเพื่อการนันทนาการและการอนุรักษ์
กอร์ปกับ การจับสัตว์น้ำขนาดเล็กเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจยังสามารถใช้อวนตาถี่ในวิธีการอื่นที่มีประสิทธิภาพสูงเพียงพอกัน จับสัตว์น้ำกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน เช่น กลุ่มอวนช้อน ยก ครอบ ด้วยอวนตาขนาด 6 มิลลิเมตรในเวลากลางคืน และอวนล้อมจับด้วยอวนตาขนาด 6 มิลลิเมตรในเวลากลางวัน ได้อยู่แล้ว
จึงไม่มีเหตุจำเป็นทั้งทางเศรษฐกิจ/สังคม ใดๆเลยที่ รัฐสภาไทยจะแก้ไขกฎหมายประมง มาตรา 69 เพื่อตอบสนองความต้องการทางเศรษฐกิจของคนกลุ่มเดียว โดยที่ไม่มีหลักประกันทางวิชาการใดสามารถคาดการณ์ความรุนแรงของผลกระทบได้เลย
อนึ่ง ปัจจุบันเราทราบว่า มีแนวโน้มที่จะได้ข้อยุติในชั้นกรรมาธิการร่วมกันของสองสภา ว่า อาจอนุญาตให้ใช้อวนล้อมจับตามมาตรา69 ได้ตั้งแต่ 12 ไมล์ทะเลออกไป จากที่เคยอ้างว่าจะทำในเขตทะเลห่างไกล โดยให้นำผลการศึกษาวิจัยของทางราชการและการรับฟังความคิดเห็นมาพิจารณาประกอบด้วย นั้น เราเห็นว่า เป็นแนวคิดที่พอรับฟังได้ แต่ยังมีข้อกังวลความไม่ชัดเจน อยู่มาก เช่น การไม่ควรให้ใช้ประกอบแสงไฟล่อ หรือการทำในพื้นที่ใด
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราต้องการสื่อสาร คือ เราไม่ต้องการ การต่อรองขอให้ผ่านกฎหมายมาตรา69 ไป โดยใช้แนวการเขียน “รูปประโยคในมาตรา69” เพื่อให้นำไปสู่การมอบอำนาจให้ฝ่ายข้าราชการดำเนินการศึกษาวิจัย ที่ประชาชนภาคส่วนต่างๆ อาจไม่มีโอกาสมีส่วนร่วม หรือมีส่วนร่วมพอเป็นพิธี แล้วนำไปสู่การอนุญาตให้ใช้เครื่องมือชนิดนี้ได้ในที่สุด, หรือเขียนให้ซับซ้อน แต่ซ่อนการอนุญาตให้ทำประมงชนิดนี้ได้ หรือใช้เทคนิคภาษา จากไม่ควรใช้แสงไฟล่อ ไปเป็นให้ใช้แสงไฟล่อได้ เป็นต้น
เราได้หารือกับเพื่อนพี่น้องในวงการทางทะเล และปัญหาทางสิ่งแวดล้อมในประสบการณ์ต่างๆ เราพบว่า ที่ผ่านมาประชาชนมีบทเรียนที่เจ็บปวดมาก เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยของหน่วยงานภาครัฐ ที่ไม่ตอบสนองต่อหลักการความยั่งยืน ไม่ครอบคลุมรอบด้าน ขาดการมีส่วนร่วม ไม่มีกรอบขอบเขตแน่ชัด ลักไก่แอบทำ จนประชาชนแทบไม่เหลือความเชื่อมั่น หากงานวิชาการผูกขาดอยู่ในมือของฝ่ายข้าราชการเท่านั้น บางท่านมองว่า อาจเกิดกรณีทำประมงอวนล้อมจับด้วยอวนตาถี่ตามมาตรา69 กันอย่างแพร่หลาย โดยอ้างว่าได้รับอนุญาตให้ทำได้เพื่อศึกษาวิจัย ซึ่งจะกลายเป็นผลเสียมากกว่า ไม่ต่างจากการได้ทำการประมงจริงๆ แต่เพียงใช้คำว่า “เพื่อการศึกษาวิจัย” บังหน้าเฉกเช่นการล่าวาฬเพื่อการวิจัยในต่างประเทศ
เราเห็นว่า “ให้เรายอม ให้ประชาชนยอมให้ผ่านมาตรา 69 ไปได้แบบมีข้อกังขา เท่ากับเรายอม ให้นำทรัพยากรทางทะเลและสัตว์น้ำของประเทศไปเป็นเดิมพัน แต่ในทางตรงกันข้ามหากเกิดผลร้ายขึ้น? ผู้ที่ได้รับประโยชน์ไปแล้วในกรณีนี้ พวกเขามีอะไรที่จะต้องจ่ายคืนให้สังคมบ้าง หากไม่เป็นไปอย่างที่เขาอ้าง มีอะไรที่พวกเขาควรนำมาวางเดิมพัน เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมบ้าง กรณีตัวอย่าง มาตรา 57 ในกฎหมายฉบับเดียวกันนี้ กำหนดให้รัฐมนตรี ประกาศ ชนิด ขนาด พันธ์สัตว์น้ำที่ไม่ควรทำการประมง ปรากฎว่าตลอดสิบปีไม่สามารถประกาศออกมาแม้แต่ชนิดเดียว จนเกิดการจับลูกปลาเศรษฐกิจกันตามใจชอบ ก็เพราะอิทธิพลของกลุ่มประมงด้วยอวนตาถี่ชนิดนี้ เกิดความสูญเสียอย่างรุนแรงตลอดมา
เราขอยืนยันแนวคิด ที่ขอให้รัฐสภายึดมั่นในหลักการ “ห้ามมิให้ใช้วิธีล้อมจับด้วยอวนตาถี่ในเวลากลางคืน” ตามกฎหมายเดิม แน่นอนว่า เราไม่มีอำนาจใดที่จะบีบบังคับ เราไม่ได้รับสิทธิใดไปยอมประนีประนอมทั้งสิ้น หากกรรมาธิการร่วมกันของรัฐสภา และสภาผู้แทนราษฎร เห็นว่าการเพิ่มข้อยกเว้นให้ศึกษาวิจัยแล้วค่อยให้อนุญาตให้ใช้ทีหลังภายใต้เงื่อนไข เพื่อประนีประนอมและเชื่อถือได้ ย่อมเป็นอำนาจและความรับผิดชอบอันชอบธรรมของสภาผู้แทนราษฎรเอง
พวกเรา ในนามภาคประชาสังคม เครือข่ายประมงพื้นบ้าน องค์กรด้านสิ่งแวดล้อม ครูอาจารย์ ต่างๆ ได้ลงแรงเสียสละกันอย่างเต็มที่ ขอให้รัฐสภาได้ตรึกตรองกฎหมายประมงมาตรา 69 มาตลอดเกือบสองปีที่ผ่านมา เราคิดว่า กรรมาธิการร่วมกันของสองสภาและรัฐสภา มีข้อมูล ข้อคิดเห็นจากสังคมฝ่ายต่างๆ เพียงพอในการตัดสินใจแล้ว ขอให้ท่านได้พิจารณาตัดสินใจตามความรับผิดชอบของท่านที่เห็นสมควรเถิด
เราหวังว่ารัฐบาลและสมาชิกรัฐสภา จะได้ให้คำมั่นแก่สาธารณชนเป็นสัญญาประชาคม เราหวังว่าผู้ที่จะได้ผลประโยชน์จากอวนล้อมจับในเวลากลางคืนในทะเลตะวันออกและอื่นๆ รวมทั้งพรรคการเมืองที่สนับสนุน จะผ่าเผย ยืดอก แสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ประกาศให้ “พันธะสัญญาสาธารณะ” แก่ประชาชน ว่าจะเลือกใช้มาตรา69 ว่าอย่างไร
ด้วยความนับถือ
สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย
สมาคมรักษ์ทะเลไทย
สมาคมเครือข่ายรักเลอันดามัน
มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
.012
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี