คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. องค์กรอิสระ ที่จัดตั้งขึ้นด้วยแนวคิดเพื่อกำกับดูแลกิจการสื่อสาร และส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมของผู้ประกอบที่เกี่ยวกันธุรกิจโครงข่ายโทรคมนาคม และระบบดิจิทัล รวมถึงคุ้มครองผู้บริโภคจากปัญหาการใช้ประโยชน์จากคลื่นความถี่ในรูปแบบต่างๆ
ตลอดระยะเวลานับตั้งแต่ที่คณะกรรมการชุดแรก เมื่อปี 2554 กทสช.ผ่านร้อนหนาวมามากมายทั้งเสียง"ชื่นชม" และ"คำติเตียน" โดยเฉพาะประเด็นการเปิดประมูลทีวีดิจิทัล ที่คาบเกี่ยวการเปลี่ยนผ่านยุคสมัยจาก "อนาล็อค" ไปสู่ดิจิทัล" และโลกถูกดิสทรัปชั่นด้วย "โซเชียลมีเดีย"
ศ.คลินิค นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานกสทช. คนปัจจุบัน ในฐานะผู้กุมบังเหียน และผู้ถือหางเสือองค์กร ในวาระดำรงตำแหน่ง 6 ปี นับได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้า เมื่อวันที่14 เมษายน 2565
"ศ.คลินิค นพ.สรณ" เปิดห้องทำงาน ชั้น 12 บนตึกกสทช.พูดคุยกับ "แนวหน้า" ถึงภารกิจ ที่รับไม้ต่อจาก กสทช.รุ่นก่อน ในการสางปัญหาจากอดีต การเคลียร์งานปัจจุบัน และวางรากเพื่อส่งผ่านไปสู่อนาคต ขององค์กร ทุกข้อสงสัย ทุกประเด็น
-ภาพรวมภารกิจของสกทช.
คำว่าภาพรวมคือจะมีอะไรใหม่ และที่ทำเก่าจะยกเลิกอะไรบ้าง โดยเฉพาะปีนี้ ตั้งแต่มีเหตุการณ์แผ่นดินใหญ่ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา บทบาทของกสทช.ในการส่งเสริมกำกับดูแลเซลล์ บอร์ดแคสต์(การส่งข้อความแจ้งเตือนภัยพิบัติฉุกเฉินไปยังโทรศัพท์มือถือ) ซึ่งเรื่องนี้เราคิดกันมานานแล้วตั้งแต่ปลาย ปี 2566 และดำเนินการเรื่อยมา แต่พอมาถึงปีนี้ ที่มีเหตุแผ่นดินไหวพอดี มันจึงเป็นการเร่งให้เกิดขึ้น ให้เสร็จเร็วขึ้น โดยระบบเซลล์ บอร์ดแคสต์ต่างจากระบบเอสเอ็มเอสคือ ต้องกระจายเข้ามือถือได้พร้อมกันทุกเครื่องในพื้นที่ ไม่ใช่แค่ครั้งละ 2 แสนเครื่องแบบระบบเอสเอ็มเอส จึงทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถคุยกันได้เลย ตั้งแต่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) โอเปอร์เรเตอร์เครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ฉะนั้นอันนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่เป็นระยะๆ และยืนยันว่าขณะนี้ระบบเซลล์ บอร์เแคสต์สามารถใช้งานได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ สามารถส่งเอสเอ็มเอสเตือนภัยทันทีเมื่อเกิดสถานการณ์ภัยพิบัติโดยระยะเวลาจากนาทีเกิดเหตุไม่เกิน 5 นาที โดยมีเจ้าภาพหลักคือปภ.เมื่อรับเหตุสถานการณ์แล้วไม่ต้องผ่านกสทช. สามารถส่งข้อมูลไปยังเครือข่ายโทรศัพท์มือถือได้เลย โดยกสทช.จะเป็นหน่วยงานรับแจ้งว่ารับทราบแล้ว
นอกจากนี้ เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีการประมูลคลื่นความถี่(Spectrum Auction )สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากล ย่านความถี่ 1500 MHz , 2100 MHz และ 2300 MHz ถึงแม้จะมีเรื่องฟ้องร้องกันบ้างว่ามีผู้ประมูลเพียงไม่กี่เจ้า แต่เราก็ดำเนินไปตามกฎหมาย และได้ยอดประมูลทั้งหมดเป็นจำนวนเงิน 4.1 หมื่นล้านบาท โดยผู้ชนะประมูลจะจ่ายทันที 50 % และจะแบ่งจ่ายอีก 25 % 4 งวด ระยะเวลา 3 ปี ฉะนั้นเงินที่ส่งยอดเข้ามาแล้วก็อยู่ที่ประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาท หลังจากหักค่าใช้จ่าย 60 ล้านบาท ในการดำเนินการประมูล โดยเงินทั้งหมดก็นำสู่รัฐเรียบร้อยแล้ว
- ความร่วมมือการจัดการแก๊งคอลเซ็นเตอร์
เรื่องนี้เราทำเยอะมาก ซึ่งถ้าพูดถึงเรื่องนี้เราจะนึกถึงกัมพูชา ที่เขาใช้สัญญาณของเราส่วนหนึ่ง ที่สามารถส่งไปได้ทั่วโลก รวมถึงบ้านเราที่เป็นหนึ่งในเป้าหมาย ซึ่งถ้าหากมีโทรศัพท์ที่มาจากบ้านเขา เราขึ้นรหัสเบอร์ + 697 ฉะนั้นให้รู้เลยว่าหากขึ้นเบอร์นี้ ถ้าไม่รู้จักใครอย่าไปรับ รวมถึงเราพยายามรณรงค์โครงการทั้งหลายเพื่อที่จะบอกว่าเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย อย่าไปรับ อีกทั้งยังมีการลงพื้นที่ในจังหวัดต่างๆ สร้างความตระหนักรู้ในเรื่องเหล่านี้ แต่ก็ยอมรับว่ามิจฉาชีพเหล่านี้นั้นมีวิธีการต่างๆนาๆ สุดท้ายเขาก็จะหลอกเราด้วย เรื่องความโลภ หลง และกลัว พวกนี้เขาทำการบ้านมาก่อน และไปได้ข้อมูลที่อาจจะไปซื้อมา ขโมยมา หรือแฮ็กเกอร์มา และใครที่อยู่ในความโลภ หลง และกลัว ก็จะถูกหลอก เราจึงได้แต่สร้างความตระหนักรู้
อีกขั้นตอนที่เราดำเนินการเชิงรุกคือการลงทะเบียนซิมการ์ด ที่หวังว่ามาตรการนี้จะช่วยจำกัดจำนวนซิม ไม่ให้มีการใช้ซิมม้า หรือการใช้ซิมเพื่อจะก่ออาชญากรรม โดยหลักการคือแต่ก่อนนี้ใครจะซื้อซิมเท่าไหร่กี่อันก็ได้ ถือเป็นความสะดวกสบายในการเข้าถึงระบบโทรคมนาคม อันนั้นเป็นอดีต ซึ่งแต่ก่อนมีเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ที่มีการใช้ซิมจุดระเบิด จึงมีกฏหมายออกมาตราการควบคุม และตอนนี้ก็ใช้ในทุกพื้นที่ ฉะนั้นใครที่มีซิมมากกว่า 5 อันขึ้นไปต้องลงทะเบียน และมีการลงบันทึกอัตลักษณ์แสดงตัวตน เพื่อเก็บข้อมูลส่วนบุคคล และใครจะไปซื้อซิมตามชายแดน ก็ต้องมีบัตรประชาชน หรือพาสปอร์ต ฉะนั้นจึงเป็นการยากขึ้นถ้าใครจะมีซิมหลายอันต้องมีตัวตนจริงๆ ไม่ใช่ใครจะซื้อไปใช้ก็ได้ และมาตรการนี้เราได้รับความร่วมมือจากโอเปอร์เรเตอร์ค่ายโทรศัพท์มือถือเป็นอย่างมาก อีกเรื่องคือ "ซิมบ็อกซ์" ที่มีการขายซิมกันแล้ว ใช้ซิมบ็อกซ์กระจายส่งเอสเอ็มเอส ซึ่งเราก็มีการจับกันมากขึ้น เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ห้ามนำเข้า แต่ใครจะใช้ต้องจดทะเบียนกับกสทช.
"มันมีข้อจำกัด ไม่ใช่ว่าเราจะทำได้ทุกอย่าง เราเพียงแต่ทำให้เขาก่ออาชญากรรมได้ยากขึ้น ขณะเดียวกันเราก็ชั่งใจว่าคนดีอาจทำงานลำบาก เช่น คนขายประกัน คนขายสินค้าทางโทรศัพท์ เขาก็เดือดร้อนไปด้วย โทรไปก็ไม่มีใครรับ เขาก็ขายของไม่ได้ ฉะนั้นสิ่งที่เราทำเราชั่งใจว่าเรากันคนส่วนหนึ่งไม่ให้ก่ออาชญากรรม แต่ขณะเดียวกันเราไม่ไปขัดขวางคนทำธุรกิจ ธุรกรรมในลักษณะที่ดี ให้เกิดผลประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจของเรา ผลที่เราทำเราได้แต่คาดคะเน เรายังวัดผลไม่ได้ชัดเจน แต่ใช้ความรู้สึกว่าความยากในการก่อนอาชญากรรมมันจะยากขึ้น และมันน่าจะลดจำนวนเหยื่อลง สรุปหน้าที่ส่วนนี้ของเราคือสร้างความตระหนักรับรู้ในสังคม และทำให้การก่ออาชญากรรมมันยากขึ้น แต่ก็ยอมรับว่าคนก่ออาชญากรรมเขาเก่ง มีนวัตกรรม มีรูปแบบใหม่ๆมาเรื่อยๆที่จะหลอกคน"
อีกหนึ่งปัญหาคือความร่วมมือของธนาคารแห่งประเทศไทย กว่าเราจะขอให้เขาปิดบัญชีม้า ซึ่งกรรมจะเกิดนั้นต้องมีการโอนเงิน ซึ่งถ้าการโอนเงินมันง่ายขึ้น ต้องลดความสะดวก และมีที่มาที่ไป คนที่เปิดบัญชี้ม้าเข้ามาใหม่ ยังไม่รู้ต้นสายปลายทาง ต้องมีระเบียบ ซึ่งในต่างประเทศเขามีวิธีการ"พักเงิน" และธนาคารมีระบบสามารถนำเงินที่โอนไปให้อาชญากรรม แต่ก็ต้องยอมรับว่ามี พ่อค้า แม่ค้าออนไลน์ ที่มีการหมุนเวียนเงินในระบบต่อวันกันมากกมาย อันนี้ก็ยังเป็นปัญหา และจุดอ่อน
- ประมูลทีวีดิจิทัล รอบใหม่ ปี 2572
ขอเท้าความไปว่าเรามีการประมูลครั้งแรกไปเมื่อปี 2557 และเกิดปัญหามากมายจากดิสทรัปชั่นของสื่อโซเชียลมีเดีย เนื่องจากพฤติกรรมการชมทีวีนั้นเปลี่ยนไป จนในปี 2561 เราก็มีการเยียวยาผู้ประกอบการ ซึ่งตอนนั้น ปี 2567 มีผู้ประมูล 36 ช่อง เราก็ดีใจ แต่ไม่กี่ปีก็ต้องเยียวยา เพราะเขาประกอบกิจการกันไม่ไหว เราไม่ได้คาดคิดว่า"ยูทูป" จะกลายเป็น"นิวทีวี" หรือทีวีในยุคใหม่ รวมถึงการไลฟ์สดผ่านแพลตฟอร์มต่างๆที่ใครก็สามารถทำได้ เมื่อสิ่งหล่านี่เข้ามาก็มีผู้ประกบการเข้ามาคืนคลื่น ส่วนผู้ที่เหลืออยู่นั้นใบอนุญาตจะหมดในปี 2572 ก็ต้องมาประมูลกันใหม่ ตามฎหมาย ส่วนจะประมูลด้วยระบบไหน ราคาเริ่มต้นยังไง ก็เป็นอีกเรื่อง
ตอนนี้การรับชมทีวี ไม่ได้รับชมผ่านคลื่นที่ผู้ประกอบการประมูลไป แต่ทีวีที่มีอยู่ 70 % มาจากจานดาวเทียม ที่เป็นระบบส่งคลื่นไปข้างบน แล้วลงมาข้างล่าง หรือคลื่น 3500 MHZ ซึ่งเป็นคลื่นที่คณะกรรมการชุดที่แล้วหมายมั่นปั่นมือมาใช้ในกิจการโทรคมนาคม หรือกิจการมือถือ ซึ่งมีข้อดีในการดาวน์โหลดข้อมูลได้รวดเร็ว พูดง่ายๆก็คือ 6G ในอนาคต ทางผู้ประกอบการเขาจึงกังวลว่าถ้าเราเอาคลื่น 3500 MHz ไป ผู้ชมเขาก็จะหายไป 70 % เขาก็จะขายโฆษณาไม่ได้ ฉะนั้นประเด็นไม่ได้อยู่ที่ปี 2572 เราจะประมูล แต่อยู่ที่ว่าก่อนจะถึงปี 2572 อย่าเพิ่งเอาคลื่น 3500 MHz ไป เพื่อให้ธุรกิจเขายังอยู่ได้ต่อไป ซึ่งเราก็มีหารือกันว่าอาจจะใช้บางส่วน เพื่อมาลองในกิจการดูก่อนว่าจะเป็นอย่างไร และต้องมีการใช้"การ์ดแบน" เพื่อป้องกันการรบกวน ไม่เช่นนั้น อันหนึ่งเป็นโทรศัพท์ อันหนึ่งเป็นโทรทัศน์ คลื่นก็จะรบกวนกัน ฉะนั้นต้องเอาส่วนหนึ่งมาและทดสอบดูว่าใช้ได้หรือไม่ ไม่รบกวนกันหรือไม่ เพราะเราไม่ได้ให้เขาใช้คลื่นนี้ตั้งแต่แรก ซึ่งคาดว่าเรื่องเหล่านี้จะจบก่อนการเปิดประมูลในปี 2572
-พฤติกรรมคนชมทีวีที่เปลี่ยนไป
เรื่องของตลาดนั้น เราไปแทรกแซงตลาด โดยการไปอุ้มนั้นไม่ใช่หน้าที่ของกสทช. เราแค่กำกับดูแลการจัดสรรคลื่นความถี่ให้ได้ประโยชน์สูงสุด ส่วนความสำคัญของทีวีจะยังมีอยู่หรือไม่นั้น ขอเปรียบกับประเทศฝรั่งเศสที่ปัจจุบัน มีทีวีเพียง 3 ช่อง รวมถึงอีกหลายประเทศที่ลดช่องทีวีลงไปเยอะ เพราะปัจจัยบางอย่างมันไม่เอื้อ และภาครัฐของเขาไม่อุ้ม จึงต้องปิดตัวลงไป ซึ่งเขาก็เปลี่ยนรูปแบบจากผู้ประกอบการทีวี เป็นคนทำคอนเท้นต์ในโลกอินเตอร์เนต หน่วยงานของเขาที่เหมือนกสทช.ของเรา ก็ใช้การตกลงกับยูทูปว่าควรจะนำเสนออะไรบ้าง เช่นเรื่องวัฒนธรรม อาหาร เครื่องดื่ม ท่องเที่ยว ส่วนอะไรที่ไม่สมควรนำลง ก็ไม่ควรลง
"ตอนนี้ทุกคนดูยูทูปเป็นหลัก ดูติ๊กตอก ดูเฟซบุ๊คไลฟ์ ฉะนั้นคนดูทีวีน้อยลง ถามว่าเราจะปล่อยให้ทีวีตายมั้ย มันก็ต้องตายลงไปอยู่แล้ว เราจะไปอุ้มยังไง พูดได้ว่าสถานการณ์ทีวีดิจิทัลน่าเป็นห่วง ซึ่งผู้ประกอบการเขาก็รู้ เขาก็ต้องปรับตัวไปตามนั้น ในแง่ของกสทช. เราเห็นใจทุกฝ่าย แต่ก็ไม่สามารถแทรกแซงตลาดได้"
ในอนาคตถ้าดูจากประเทศอื่นเป็นตัวอย่าง การรับชมทีวีจากคลื่นมันก็ลดน้อยลง จนกระทั่งถึงปี 2572 ทีวีจะอยู่ได้ด้วยคลื่น 3500 MHz ฉะนั้นการเอาคลื่น 3500 MHz เราจะต้องชั่งใจอย่างดี ว่าจะเอามาใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ ไม่ใช่เอามาแล้ว ประโยชน์ทางโทรคมนาคมไม่ได้เพิ่มขึ้นเท่าไหร่ เพราะมีของเหลืออยู่เยอะ ก็จะทำให้ทีวียิ่งแย่ใหญ่ เราก็ไม่กล้าทำ ฉะนั้นการจัดทรัพยากรให้เหมาะสมเป็นหน้าที่ของเรา
ขณะที่วงการวิทยุ ทุกวันนี้เราเปลี่ยนจากระบบอนาล็อคเป็นดิจิทัล เราฟังจากพอตแคสต์ มากกว่าฟังจากวิทยุระบบคลื่น FM/ AM ซึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีการออกกฎว่า รถยนต์รุ่นใหม่ต้อง AM เรดิโอ ไว้เผื่อที่จะรับคลื่นฉุนเฉิน โดยเป็นระบบอนาล็อค ไม่ใช่ดิจิทัล แต่ของเราจะไปหาเครื่องวิทยุได้จากที่ไหนในปัจจุบัน ซึ่งสถานการณ์วงการวิทยุไทยจะเป็นอย่างไรนั้น เรากำลังจะมีการให้ประมูลคลื่น FM ก็จะต้องคอยดูว่าจะป็นอย่างไร
- ปัญหาค้างคาเรื่องการแต่งตั้ง "เลขาธิการกสทช."
ช่วงเวลาที่มารับตำแหน่งนี้ จนถึงวันนี้ 3 ปี 5 เดือน ตำแหน่งรักษาการเลขาธิการกสทช.ก็เป็นมาก่อนแล้ว ซึ่งกรรมการชุดที่แล้ว ก็มีสิทธิในการแต่งตั้งเลขาธิการฯ โดยเลขาฯคนแรก "ฐากร ตัณฑสิทธิ์" ดำรงตำแหน่ง 2 ครั้ง ครั้งแรก เป็นการใส่ชื่อลงตระกร้าสรรหา เนื่องจากมีผู้สมัครหลายคน ครั้งที่สอง เป็นการเสนอชื่อ "นายฐากร" คนเดียว ฉะนั้นมี 2 วิธีในการแต่งตั้งเลขาธิการฯ ซึ่งทำมาแล้วทั้งสองวิธี และกฎหมายก็เขียนระบุไว้ว่า "เลขาธิการฯ" มาจากการ "แต่งตั้ง" และจากการ "เห็นชอบ" จากบอร์ดกสทช. ซึ่งมีความเห็นต่างกันว่ากระบวนการแต่งตั้งควรจะเป็นอย่างไร โดยบอร์ดส่วนหนึ่งเห็นว่า น่าจะเป็นแบบแรกคือให้บอร์ดเลือกกัน และให้ประธานฯเสนอ ซึ่งตนก็แต่งตั้ง "ไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล" ที่เป็นรักษาการเลขาฯ ให้เป็นเลขาธิการฯ แต่บอร์ด 4 ท่านไม่เห็นชอบ ด้วยเหตุว่ากระบวนการไม่ถูกต้อง แต่ไม่ใช่ว่าไม่เห็นด้วยกับตัวบุคคล ก็เลยเป็นปัญหา และตอนนี้เรื่องยังอยู่กระบวนการศาลปกครองว่า "กระบวนการ" ได้มานั้น "ชอบ" หรือ "ไม่ชอบ" และในเมื่อศาลยังไม่มีคำวินิจฉัย สรรหาไปก็ยังแต่งตั้งไม่ได้ ซึ่งยังเป็นการคาราคาซังกันอยู่ แต่ก็ยังทำงานได้ องค์กรยังปฏิบัตืหน้าที่ได้ ไม่เกิดความเสียหาย ทุกอย่างยังดำเนินต่อไปได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี