ไม่กลัวข้อมูลส่วนตัวรั่วไหล พาญาติพี่น้องสแกนม่านตาแลกเงิน ขณะที่ฝ่ายปกครองพร้อมตำรวจ เคยร่วมกันเข้าตรวจสอบแล้ว แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะไม่มีผู้เสียหาย ทำได้เพียงแจ้งเตือนชาวบ้านเท่านั้น
17 ตุลาคม 2568 กำลังเป็นกระแสข่าวดัง กรณีชาวบ้านแห่สแกนม่านตา อัตลักษณ์เทียบเท่า DNA เพื่อแลกรับแจกเหรียญเป็นเงินคริปโต ครั้งละ500-2,000 บาท ที่มีการตั้งสำนักงานออฟฟิศกระจายไปทั่วหลายจังหวัดในขณะนี้
ขณะที่จังหวัดสุรินทร์ ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า มีอาคารที่อยู่ตรงข้ามตึกช่างยนต์วิทยาลัยเทคนิคสุรินทร์ ถนนหลักเมือง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ เปิดเป็นร้านเกี่ยวกับอุปกรณ์ไอที (ชื่อร้าน JIB) ข้างร้านเป็นร้านถ่ายเอกสาร ในแต่ละวันจะมีชาวบ้านทั้งเด็กวัยรุ่น คนหนุ่ม-สาว วัยกลางคนและผู้สูงอายุ มายืนออกันอยู่ที่หน้าร้านเพื่อรอสแกนม่านตา ซึ่งร้านดังกล่าวเปิดรับสแกนม่านตามานานแล้วน่าจะเกือบหนึ่งปี และยังคงเปิดให้ชาวบ้านเข้าไปสแกนม่านตาได้ตลอดทุกวัน
ผู้สื่อข่าวจึงลงพื้นที่ตามที่รับแจ้ง พบว่าที่หน้าร้านมีชาวบ้านจำนวน 5 คน เป็นวัยรุ่น วัยทำงานและผู้สูงอายุ กำลังใช้โทรศัพท์ยืนสแกนใบหน้าให้กับป้าคนหนึ่ง จากการสอบถามทราบว่า ทั้งหมดเป็นญาติพี่น้องกันเดินทางมาจากอำเภอลำดวน จ.สุรินทร์ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองสุรินทร์ไปประมาณ 30 กม. โดยมีหลานสาวเป็นคนพามา โดยหลานสาวได้รับการแนะนำจากเพื่อนอีกที
จากการสอบถามหลานสาวที่พาป้ามา ซึ่งก็ไม่ค่อยให้ข้อมูลอะไรมากตอนเห็นว่ากำลังถูกถ่ายคลิป บอกว่า ตนเองมาสแกนม่านได้ประมาณเดือนหนึ่งแล้ว โดยการแนะนำจากเพื่อน ซึ่งการสมัครไม่ได้เสียเงินและเขาก็ไม่เอาข้อมูลบัตรประชาชนด้วย ส่วนการได้รับเงินมากน้อยขึ้นอยู่กับหุ้นขึ้นหุ้นลงตามสกุลเงินนั้นๆ สแกนม่านตาแค่ครั้งแรกครั้งเดียว จากนั้นก็มาสแกนใบหน้าในแอปฯโทรศัพท์ที่ลงไว้อย่างเดียว เพื่อรับเหรียญในแต่ละครั้งต่อๆไป เคยเห็นมีข่าวออกมาเตือนเกี่ยวกับการสแกนม่านอยู่เหมือนกัน แต่ตนไม่กลัว คิดว่าคงไม่มีอะไรให้ถูกหลอกลวง เพราะการที่มาสมัครและสแกนม่านตาไม่ได้มีค่าใช้จ่ายอะไรเลย
ทั้งนี้ยังได้รับข้อมูลจากบางคนที่ได้มาสแกนม่านตา บอกว่า เคยถามเรื่องว่าทำไมต้องสแกนม่านตาด้วย โดยผู้ที่รับสแกนตอบว่า เป็นการยืนยันตัวตนว่าเราเป็นมนุษย์ไม่ใช่หุ่นยนต์
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เข้าสอบถามเรื่องนี้กับนายรองรัตน์ จงอุตส่าห์ นายอำเมืองสุรินทร์ โดยนายอำเภอเมืองสุรินทร์ ติดภาระกิจและมอบหมายให้ฝ่ายงานความมั่นคงเป็นผู้ให้ข้อมูลเรื่องดังกล่าว โดย น.ส.อรนุช เสนะชัย ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า เรื่องนี้ตอนนี้ยังไม่มีผู้เสียหาย คือทางตำรวจไซเบอร์ต้องตรวจสอบไปก่อนว่า การกระทำนี้จะเกิดผลกระทบหรือข้อเสียอะไรบ้าง คือยังไม่สามารถทำอะไรได้ทำได้เพียงแค่แจ้งเตือนประชาชนเท่านั้น เพราะว่าชาวบ้านยังไม่ใครได้รับความเสียหาย เป็นการไปสแกนม่านตาเพื่อได้รับเงิน เป็นเงินคริปโตเป็นค่าตอบแทน
ส่วนข้อมูลที่เขาได้ไปก็เหมือนเป็นการพิสูจน์ตัวบุคคลมากกว่า คือไม่ใช่ได้ข้อมูลไปทั้งหมด เหมือนการเอาอัตลักษณ์ของเราไปใช้ในการเข้าถึงข้อมูลบางอย่างซึ่งเหมือนลายนิ้วมือ แต่สแกนม่านตามันเป็นอัตลักษณ์ที่สูงมากกว่าลายนิ้วมือเทียบเท่าระดับสูงเลย ซึ่งกรมการปกครองก็ได้ทำการแจ้งเตือนประชาชนออกมาแล้ว อันนี้เมื่อ 2 เดือนก่อน และทางอำเภอเมืองสุรินทร์ก็ได้เข้าไปตรวจสอบพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองสุรินทร์ แล้วที่ร้านดังกล่าว พบว่ามีคนเข้าไปใช้บริการเยอะอยู่เหมือนกัน แต่เราไม่สามารถทำอะไรได้เพราะว่าตอนนี้คือยังไม่มีผู้เสียหาย ไม่มีผู้ที่ได้รับผลกระทบ แล้วก็ไม่ทราบว่าผลเสียที่เขาทำไปมันเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง แต่ก็ได้มีการแจ้งเตือนประชาชน
'ถ้าเกิดหากมีประชาชนได้รับผลกระทบเกิดความเสียหาย สามารถเข้ามาแจ้งเรื่องที่ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอเมืองได้ ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่มีเข้ามา เพราะว่าชาวบ้านก็ได้ผลประโยชน์คือได้รับเงิน ซึ่งจากการสอบถามประชาชนที่ไปสแกน ทราบว่ารายหนึ่งก็ได้รับเงินประมาณ 500 บาท หรือบางคนก็ได้ค่าแนะนำชักชวน ก็ได้ค่าหัวคิวต่อคนต่อรายอะไรแบบนั้น แต่ไม่ทราบค่าหัวคิวที่แน่ชัด แต่บุคคลที่เข้าไปสแกนม่านตาได้เงินเฉลี่ยประมาณคนละ 500 บาท คือไปสแกนม่านตายืนยันตัวแค่ครั้งเดียว ซึ่งตอนนั้นเมื่อประมาณเดือนสองเดือนที่แล้ว ก็จะมีคนไปสแกนกันเยอะพอสมควร ช่วงนี้ก็ไม่ค่อยมีได้รับรายงานเข้ามา'
012
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี