วันอังคาร ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
เอกอัครราชทูตจีนบรรยายสรุปผลการเสด็จฯ เยือนจีนของ "ในหลวง" และ "ราชินี" ย้ำ “จีน–ไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” เปิดบทใหม่ 50 ปีสัมพันธ์สองประเทศ
เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 ณ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เอกอัครราชทูตจาง เจี้ยนเว่ย จัดงานแถลงสรุปผลการเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ระหว่างวันที่ 13–17 พฤศจิกายน 2568 ตามคำทูลเชิญของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง โดยก่อนการบรรยายได้มีการฉายวีดิทัศน์การเสด็จฯ เยือนจีนอย่างเป็นทางการประกอบการแถลงข่าว
เอกอัครราชทูตจางระบุว่า การเสด็จฯ เยือนครั้งนี้เกิดขึ้นในวาระครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและไทย และ “50 ปีทองแห่งมิตรภาพจีน–ไทย” นับเป็นการเสด็จฯ เยือนประเทศจีนครั้งแรกของพระมหากษัตริย์ไทยนับตั้งแต่มีความสัมพันธ์ทางการทูต และจีนยังเป็นประเทศใหญ่ประเทศแรกที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ เยือนหลังทรงขึ้นครองราชย์ จึงเป็นก้าวสำคัญยิ่งในการพัฒนาความสัมพันธ์จีน–ไทย
ระหว่างการเสด็จฯ เยือน ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เข้าเฝ้าฯ และหารือกับพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมบรรลุฉันทามติสำคัญเพื่อการพัฒนาความสัมพันธ์จีน–ไทยในอนาคต ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะร่วมกันผลักดันการสร้าง “ประชาคมจีน–ไทยที่มีอนาคตร่วมกัน” ให้ก้าวหน้าอย่างยิ่งใหญ่กว่าเดิมในอีก 50 ปีข้างหน้า ร่วมกันเขียนบทใหม่ของมิตรภาพจีน–ไทย และมีการจัดพิธีถวายการต้อนรับและงานเลี้ยงพระกระยาหารอย่างสมพระเกียรติ โดยนายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ได้เข้าเฝ้าฯ และหารือกับพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย
เอกอัครราชทูตจางกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้ทรงวางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์วีรชน และทรงเยี่ยมชมสถานที่สำคัญในกรุงปักกิ่ง เพื่อทรงรับทราบความสำเร็จด้านการพัฒนาประเทศให้ทันสมัยของจีนอย่างใกล้ชิด รวมทั้งส่งเสริมการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ การศึกษา และวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศ การเสด็จฯ เยือนครั้งนี้ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางจากทุกภาคส่วนในจีนและไทย ตอกย้ำความสัมพันธ์ “จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” เสริมสร้างไมตรีจิตของประชาชนทั้งสองประเทศ และเป็นแรงผลักดันสำคัญต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีในอนาคต
สำหรับ “ข้อสรุปสำคัญประการแรก” เอกอัครราชทูตจางชี้ว่า การนำของประมุขแห่งรัฐคือข้อได้เปรียบและหลักประกันพื้นฐานในการพัฒนาความสัมพันธ์จีน–ไทย โดยย้อนไปถึงการเยือนประเทศไทยของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในปี 2565 ที่ได้บรรลุฉันทามติสำคัญว่าด้วยการสร้างประชาคมจีน–ไทยที่มีอนาคตร่วมกัน ทำให้รากฐานมิตรภาพแน่นแฟ้นและความร่วมมือมีกำลังมากยิ่งขึ้น พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ทรงใส่พระทัยและสนับสนุนมิตรภาพจีน–ไทยมาอย่างยาวนาน โดยมีบทบาทชี้นำพิเศษต่อความสัมพันธ์ทวิภาคี สิ่งที่ฝ่ายจีนประทับใจเป็นพิเศษ คือแม้อยู่ในช่วงน้อมถวายความอาลัยต่อการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ยังทรงยืนยันจะเสด็จฯ เยือนจีนตามหมายกำหนดการ แสดงให้เห็นว่าฝ่ายไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสัมพันธ์จีน–ไทย
ในระหว่างการพบหารือ ประมุขแห่งรัฐทั้งสองได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเชิงลึกต่อทิศทางและประเด็นยุทธศาสตร์ของความสัมพันธ์จีน–ไทย เห็นพ้องว่าตลอด 50 ปีนับแต่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ทั้งสองประเทศยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ ช่วยเหลือและสนับสนุนกันและกัน เป็น “ญาติมิตรที่ดี มิตรสหายที่ดี และหุ้นส่วนที่ดีอย่างแท้จริง” ทั้งสองฝ่ายจะเสริมสร้างการเชื่อมโยงเชิงยุทธศาสตร์ และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางสังคมและวัฒนธรรมให้ประชาชนใกล้ชิดและผูกพันมากขึ้น

เอกอัครราชทูตจางกล่าวถึง “ผลลัพธ์สำคัญประการที่สอง” ว่า การเสด็จฯ เยือนครั้งนี้ได้กำหนดแนวทางและแผนพัฒนาความสัมพันธ์ในอนาคต สอดคล้องกับ “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 5 ปี ฉบับที่ 15” ของจีน ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพสูงและการเปิดประเทศในระดับสูง จีนจะเสริมสร้างการประสานยุทธศาสตร์กับไทย ผลักดันโครงการสำคัญอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการรถไฟจีน–ไทย การขยายการนำเข้าสินค้าเกษตรคุณภาพสูงจากไทย และการขยายความร่วมมือในสาขาใหม่ อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ เศรษฐกิจดิจิทัล การบินและการบินอวกาศ ขณะที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสว่า ไทยและจีนมีมิตรภาพที่ใกล้ชิด มีการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนและความร่วมมือที่กว้างขวางและลึกซึ้ง ไทยยินดีเรียนรู้ประสบการณ์การพัฒนาของจีน ขยายความร่วมมือในหลากหลายสาขา และกระชับมิตรภาพไทย–จีนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ท่านเอกอัครราชทูตยังระบุว่าหลังเสด็จฯ เยือน นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีไทย ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสริมสร้างการประสานงานกับฝ่ายจีนและผลักดันความร่วมมือด้านต่าง ๆ ซึ่งฝ่ายจีนชื่นชมอย่างยิ่ง จีนพร้อมทำงานร่วมกับไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อผลักดันให้ฉันทามติของประมุขแห่งรัฐทั้งสองประเทศกลายเป็นความร่วมมือเชิงปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
สำหรับ “ช่วงเวลาที่น่าประทับใจที่สุด” เอกอัครราชทูตจางกล่าวว่า คือปฏิสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กับพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในพิธีถวายการต้อนรับ การพบปะอย่างเป็นทางการ และงานเลี้ยง บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเป็นมิตร วลี “จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” ถูกกล่าวถึงบ่อยครั้ง ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เน้นย้ำความสัมพันธ์เชิงประวัติศาสตร์ระหว่างราชวงศ์ไทยกับรัฐบาลจีน และยกย่องบทบาทของราชวงศ์ไทยในการส่งเสริมมิตรภาพจีน–ไทย พร้อมระบุว่าทั้งสองฝ่ายควรแลกเปลี่ยนการเยือนกันอย่างสม่ำเสมอเหมือนสมาชิกครอบครัว และยินดีต้อนรับพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จฯ เยือนจีนบ่อยยิ่งขึ้น
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยังชื่นชมโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และแสดงเจตนารมณ์ของฝ่ายจีนที่จะสนับสนุน รวมทั้งเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการบรรเทาความยากจนกับไทย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน พร้อมแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งและถวายความอาลัยต่อการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ขณะที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแสดงความยินดีต่อความสำเร็จของจีนในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ทรงยกย่องสองประเทศว่าเป็น “ญาติสนิทที่สุด” และทรงภาคภูมิใจในความสัมพันธ์จีน–ไทยที่พัฒนาอย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
เอกอัครราชทูตจางเล่าว่า หลังพิธีต้อนรับ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้กราบบังคมทูลถึงประวัติและรูปแบบสถาปัตยกรรมของจัตุรัสเทียนอันเหมิน และก่อนการประชุมอย่างเป็นทางการได้ทรงอธิบายภาพจิตรกรรมฝาผนังแกนกลางกรุงปักกิ่งในห้องประชุม สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและผ่อนคลาย ในงานเลี้ยงต้อนรับยังมีการบรรเลงบทเพลง “ใกล้รุ่ง” ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงพระราชนิพนธ์ แสดงถึงความรักใคร่และเครือญาติอันใกล้ชิดระหว่างสองประเทศ
เอกอัครราชทูตจางระบุว่า การเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้ “เต็มไปด้วยกิจกรรมและเนื้อหาเข้มข้น” ไม่เพียงเป็นการเสด็จฯ แห่งมิตรภาพ แต่ยังเป็น “การเสด็จฯ แห่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แห่งวัฒนธรรม และแห่งการศึกษา” โดยพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเยี่ยมชมศูนย์นวัตกรรมหุ่นยนต์อัจฉริยะ เรียนรู้การใช้หุ่นยนต์ในอุตสาหกรรมการผลิต การแพทย์ การดูแลผู้สูงอายุ การปฏิบัติงานระยะไกลและการใช้ชีวิตภายในบ้าน ทรงเยี่ยมชมสถาบันเทคโนโลยีอวกาศของจีนและศูนย์ฝึกอบรมนักบินอวกาศ และทรงสนทนาแบบเรียลไทม์กับนักบินอวกาศภารกิจเสินโจว–21 ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ซึ่งเดิมกำหนดเวลา 7–8 นาที แต่ยืดออกเกือบ 20 นาที โดยพระองค์ทรงแสดงความยินดีกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอวกาศของจีน และซักถามด้วยความสนพระทัยเกี่ยวกับสภาพการทำงานและการดำรงชีวิตของนักบินอวกาศ เอกอัครราชทูตจางเชื่อว่า ปัญญาประดิษฐ์ การสำรวจอวกาศลึก และการบินอวกาศ มีแนวโน้มจะเป็นไฮไลท์ใหม่ของความร่วมมือเชิงปฏิบัติระหว่างจีนและไทย
ด้านการศึกษา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จฯ เยี่ยมชมศูนย์พัฒนาเทคโนโลยีและทรัพยากรการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการจีน และทอดพระเนตรชั้นเรียนภาษาอังกฤษแบบโต้ตอบเรียลไทม์ทางไกลระหว่างโรงเรียนประถมในปักกิ่งและไหหลำผ่านแพลตฟอร์มการศึกษาอัจฉริยะ ซึ่งเอกอัครราชทูตจางมองว่าจะช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนด้าน “การศึกษาอัจฉริยะ” และการพัฒนาศักยภาพบุคลากรไทย นอกจากนี้ พระองค์ยังเสด็จฯ วัดหลิงกวงเพื่อสักการะพระบรมสารีริกธาตุพระเขี้ยวแก้ว และทอดพระเนตรพิธีเปิดนิทรรศการโบราณวัตถุวัฒนธรรมจีน–ไทย ณ พระราชวังโบราณของจีน แสดงถึงความผูกพันทางวัฒนธรรมและการเรียนรู้ร่วมกันของทั้งสองประเทศ
ในส่วน “ประโยชน์สำคัญที่ไม่คาดคิด” เอกอัครราชทูตจางระบุว่า การเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้ทำให้พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ พระบรมราชินี ทรงได้รับความชื่นชมอย่างล้นหลามในจีน พระบารมีและพระปรีชาสามารถ รวมถึงพระสิริโฉมและพระจริยวัตรอันงดงามสง่าของทั้งสองพระองค์ได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในสื่อออนไลน์ ดึงดูด “แฟน ๆ” จำนวนมาก และจุดประกาย “กระแสการท่องเที่ยวไทยบูม” ระลอกใหม่ในจีน ซึ่งท่านเอกอัครราชทูตมั่นใจว่าจะทำให้ชาวจีนประทับใจประเทศไทยมากขึ้น และทำให้หัวใจของประชาชนทั้งสองประเทศใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น
เอกอัครราชทูตจางยังชี้ให้เห็นว่า การเสด็จฯ เยือนครั้งนี้อยู่ในช่วงเวลาแห่งการถวายความอาลัยต่อการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทั้งสองฝ่ายจึงประสานงานกันอย่างใกล้ชิด คำนึงถึงประเพณีและความสะดวกของกันและกัน ฝ่ายจีนได้จัดเตรียมสถานที่อย่างเรียบง่ายแต่สง่างาม พนักงานต้อนรับสวมชุดสีเข้มเพื่อแสดงความเคารพ ท่านเอกอัครราชทูตยังขอบคุณสำนักพระราชวัง สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสื่อมวลชนจีน–ไทยที่ร่วมรายงานข่าวอย่างเข้มข้น
ท่านเอกอัครราชทูตกล่าวว่า ภาพของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวร่วมตรวจแถวกองเกียรติยศ เดินเคียงข้างกัน และสนทนาอย่างเป็นกันเอง รวมถึงการจัดขบวนรถ เครื่องแบบ และมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างพิถีพิถัน ได้รับคำชื่นชมจากชาวเน็ตไทย ซึ่งแสดงความรู้สึกด้วยข้อความเช่น “ขอบคุณประเทศจีนสำหรับการถวายการต้อนรับพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่างสมพระเกียรติ” “ขอบคุณประเทศจีนที่ให้ความเคารพและนับถืออย่างสูงสุดต่อพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวและระบอบการเมืองไทย” และ “ไทยจีนใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” ขณะที่สื่อไทยเมื่อรายงานเหตุการณ์ทรงวางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์วีรชน ก็เน้นย้ำถึงความสำคัญพิเศษของพิธีดังกล่าวและความไว้วางใจระหว่างสองประเทศ
เอกอัครราชทูตจางสรุปว่า การเสด็จพระราชดำเนินเยือนจีนครั้งแรกของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ พระบรมราชินี ได้ “เติมเต็มช่องว่างทางประวัติศาสตร์” ของความสัมพันธ์จีน–ไทย และเป็นหมุดหมายที่มีความสำคัญยิ่งยวด เพราะได้สานต่อมิตรภาพอันดีงาม เสริมสร้างความไว้วางใจทางการเมือง ส่งเสริมความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน กระชับการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และทำให้แนวคิด “จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” ฝังรากลึกยิ่งขึ้นในหัวใจของประชาชน พร้อมทั้งช่วยเสริมสร้างการสร้างประชาคมจีน–ไทยที่มีอนาคตร่วมกัน และวางรากฐานที่มั่นคงกว่าเดิมให้กับความสัมพันธ์ในอีก 50 ปีข้างหน้า ซึ่งท่านเอกอัครราชทูต “เชื่อมั่นว่าอนาคตของความสัมพันธ์จีน–ไทยจะยิ่งสดใสยิ่งขึ้น”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี