วันเสาร์ ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ข่าว Like สาระ
สถานการณ์สู้รบ ไทย-กัมพูชา  ไม่ใช่ ‘ชาตินิยมสู่คูหาเลือกตั้ง’

สถานการณ์สู้รบ ไทย-กัมพูชา ไม่ใช่ ‘ชาตินิยมสู่คูหาเลือกตั้ง’

วันเสาร์ ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.
Tag : คูหาเลือกตั้ง ชาตินิยม ไทย-กัมพูชา สถานการณ์สู้รบ
  •  

สถานการณ์สู้รบ ไทย-กัมพูชา

ไม่ใช่ ‘ชาตินิยมสู่คูหาเลือกตั้ง’

การสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เกิดขึ้นในช่วงที่ประเทศไทยกำลัง เดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้ง วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569

เพียงแค่ปฏิทินเลือกตั้งปรากฏ เสียงวิเคราะห์บางแบบก็โผล่ขึ้นมาทันทีชายแดนถูกดึงไปผูกกับคูหา และเสียงปืนถูกแปลความหมายเป็นการเมือง


มุมมองลักษณะนี้ ไม่ได้เริ่มจากภาพที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ แต่เริ่มจากความเชื่อว่าทุกสถานการณ์ต้องโยงกลับไปที่การเลือกตั้ง

เมื่อแนวคิดนี้ถูกใช้ต่อเนื่อง ปลายทางของเรื่อง ย่อมต้องมีชื่อของคนที่ “ได้ประโยชน์ทางการเมือง”

และในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังจะเลือกตั้ง ชื่อที่ถูกหยิบขึ้นมา ก็คือผู้นำรัฐบาล

ในฐานะนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยมที่กำลังนำประเทศเข้าสู่การเลือกตั้งมวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569

อนุทิน ชาญวีรกูลมจึง ถูกกล่าวหา ว่าเป็นผู้ได้อานิสงส์ทางการเมืองใจากสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดน

ในสายตาของมุมมองแบบนี้ ชายแดนไม่ใช่อธิปไตย แต่กลายเป็นฉาก ทหารไม่ใช่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ แต่ถูกลดบทบาทให้เป็นองค์ประกอบทางการเมือง

สิ่งที่ถูกมองข้ามไปในการอธิบายเช่นนี้ คือความจริงพื้นฐานอย่างหนึ่ง

ชาตินิยมของสังคมไทย ไม่ได้ถูกสั่ง ไม่ได้ถูกจัดฉาก และไม่ต้องรอฤดูเลือกตั้ง

ทุกครั้งที่อธิปไตยถูกคุกคาม ทุกครั้งที่มีทหารไทยบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ปฏิกิริยาของสังคมจะเกิดขึ้นเอง

มันไม่ใช่ผลของการปลุก แต่เป็นสัญชาตญาณของรัฐ และเป็นความรู้สึกของคนในประเทศ ที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องมีใครสั่งการ

แต่คำอธิบายแบบนี้ ถูกดึงไปคนละทิศทาง เมื่อชื่อของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้นำทางความคิดของพรรคประชาชน ถูกนำเข้ามาอยู่ในสมการเดียวกัน

โดยธนาธร อ้างในรายการ “กรรมกรข่าวคุยนอกจอ” ของสรยุทธ สุทัศนจิดา ว่า

“ผู้นำทางการเมืองทั้งสองฝั่งและทุกประเทศ ไม่ควรใช้สงครามสร้างความนิยม โดยไทยเองก็มีเจตนากำลังทำในลักษณะนี้”

ถ้อยคำนี้ เหมารวมผู้นำทุกประเทศ ให้อยู่ในสมการเดียวกัน ว่ากำลังใช้สงครามเป็นเครื่องมือทางความนิยม

และในสมการเดียวกันนั้น รัฐบาลไทยถูกพาเข้าไปอยู่ในข้อกล่าวหา ว่ามี “เจตนา” ใช้สถานการณ์ความมั่นคง เพื่อเป้าหมายทางการเมือง

ขณะเดียวกัน ธนาธรพาเรื่องไปไกลกว่านั้น ด้วยการอ้างว่าทหากวันนั้น พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หรือ ณัฐพงศ์ เรืองปัญญาวุฒิ

เป็นนายกรัฐมนตรีทความสูญเสียของทหารไทย และประชาชน จะไม่เกิดขึ้น

คำอ้างเช่นนี้ไม่ได้เป็นแค่การวิจารณ์รัฐบาลแต่มันกำลังบอกเป็นนัยว่า ชีวิตทหารไทย คือผลข้างเคียงของการเมือง

กองทัพทจึงถูกลากไปอยู่ฝั่งตรงข้ามประชาชนอีกครั้งหนึ่ง ภายใต้ชุดความคิดเดิม ที่ถูกหยิบมาใช้ทุกครั้งที่เกิดสถานการณ์ด้านความมั่นคง

ธนาธรไม่ได้แยกกัมพูชาออกจากสิ่งที่พูด แต่เหมารวมผู้นำทุกประเทศว่ากำลังทำสิ่งเดียวกัน

การพูดในลักษณะนี้ ฟังดูเท่าเทียม ฟังดูสะอาด และฟังดูสูงส่งราวกับยืนอยู่เหนือความขัดแย้งทั้งหมด

แต่สิ่งที่หายไปจากคำอธิบายแบบนี้ คือความต่างของเงื่อนไขทางการเมือง

ประเทศไทย กำลังเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้ง รัฐบาลต้องเผชิญการตรวจสอบจากประชาชน ต้องเผชิญแรงกดดันจากคะแนนนิยม และต้องรับต้นทุนทางการเมือง ทุกครั้งที่สถานการณ์ชายแดนลุกลาม

การตัดสินใจด้านความมั่นคง ในบริบทนี้ไม่ให้ผลเป็นคะแนนโดยอัตโนมัติ แต่เป็นภาระที่รัฐบาลต้องแบกรับโดยตรง

กัมพูชา ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขแบบเดียวกัน

ฮุน เซน ไม่ต้องพึ่งการตัดสินจากคูหาเลือกตั้ง ไม่ต้องรับแรงกดดันจากคะแนนนิยม แต่ใช้อำนาจรัฐ ชาตินิยม และศัตรูภายนอก เป็นเครื่องมือค้ำอำนาจมาอย่างยาวนาน

การขยับตามแนวชายแดนครั้งนี้ เป็นการขยับของฝ่ายกัมพูชา ภายใต้การนำของ ฮุน เซน ที่ไม่ได้เดินตามจังหวะการเลือกตั้ง แต่เดินตามโครงสร้างอำนาจและกลไกการรักษาอำนาจของรัฐ

เมื่อผู้นำทุกประเทศถูกเหมารวมให้อยู่ในระดับเดียวกัน ความต่างระหว่าง รัฐที่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน กับรัฐที่ใช้อำนาจนำ ก็ถูกลบออกไปจากการอธิบายทั้งหมด

ผลที่ตามมา คือประเทศไทยถูกดึงกลับมาอยู่กลางข้อกล่าวหา รัฐที่ใช้ชาตินิยมเพื่อเดินเข้าสู่คูหาเลือกตั้ง

ทั้งที่ต้นทุนของสถานการณ์จริง คือชีวิต แรงกดดันระหว่างประเทศ และความเสี่ยงที่ไม่มีรัฐบาลไหนอยากแบก ก่อนวันเลือกตั้ง

การลากคำว่า “ชาตินิยม” ไปผูกกับ “คูหาเลือกตั้ง” ทำให้ความมั่นคงของรัฐถูกลดระดับ เหลือเป็นเพียงกลยุทธ์ทางการเมือง

ทหารในสายตาแบบนี้ ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ แต่เป็นต้นทุน

ความตาย ไม่ใช่ผลของการเผชิญหน้าระหว่างรัฐ แต่ถูกอธิบายผ่านบัตรเลือกตั้ง

สถานการณ์สู้รบ ไทย-กัมพูชา ไม่ใช่ชาตินิยมสู่คูหาเลือกตั้ง

มันคือการปะทะที่เกิดขึ้นจริงในโลกที่อุดมคติไม่ต้องรับผิดชอบต่อความสูญเสีย

และเป็นโลกที่ความมั่นคง ไม่อาจถูกตีความด้วยสมมติฐานทางการเมือง เพียงอย่างเดียว.

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  

Breaking News

อุกอาจ! ประกบยิงดับ'กำนันยอง' ผู้สมัครนายก อบต.ท่าชะมวง ตร.พุ่งเป้าศึกการเมืองท้องถิ่น

นนท ดับปริศนา 1 รอด 1 พบ นอนหมดสติอยู่บริเวณหน้าเคาท์เตอร์รีเซฟชั่นของโรงแรม

กรมอุตุฯเตือน ไทยตอนบนหนาวต่อเนื่อง ยอดดอยแตะ4องศา ใต้ตอนล่างเฝ้าระวังฝน-คลื่นสูง

‘พีเจ-มหิดล’มอบของขวัญปีใหม่ให้แฟนๆ ปล่อยโซโล่ซิงเกิล 'YOU OF THE YEAR'

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved