วันอาทิตย์ ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2568
กรมหมอดินโชว์ความสำเร็จการแก้ปัญหา‘ดินเค็ม’
ในงานประชุมวิชาการเรื่องดิน
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสาน ถือเป็นภาคที่มีพื้นที่การเกษตรมากที่สุดในประเทศไทย แต่อัตราการขยายตัวของผลผลิตด้านการเกษตรต่ำสุด เนื่องจากมีปัญหาคุณภาพหลายประการ ปัญหาที่สำคัญปัญหาหนึ่งคือดินเค็ม แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเฉพาะ กรมพัฒนาที่ดิน ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ รวมถึงภาคเอกชน ได้ดำเนินโครงการแก้ปัญหาดินเค็มมาอย่างต่อเนื่องจนได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจ
นายไพรัช พงษ์วิเชียร นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยและพัฒนาการจัดการดินเค็ม สำนักวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน กรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า ปัญหาดินเค็ม นอกจากเกิดจากธรรมชาติแล้ว ยังเกิดจากการกระทำของมนุษย์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการตัดไม้ทำลายป่า การทำนาเกลือ และการขุดบ่อน้ำในพื้นที่ดินเค็ม เป็นต้น ดินเค็มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือกระจายอยู่ทั่วไปเกือบทุกจังหวัด ยกเว้น จังหวัดเลย และมุกดาหาร และที่พบปัญหาดินเค็มมาก เช่น จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดขอนแก่น ลักษณะที่พบคือจะเห็นคราบเกลือในช่วงฤดูแล้งชัดเจน พืชจะตายเป็นหย่อมๆ พืชทางเศรษฐกิจจะขึ้นไม่ได้ จะมีพืชบางชนิดที่ทนเค็มพอขึ้นได้
.jpg)
ดินเค็มแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ดินเค็มน้อย ดินเค็มปานกลาง และดินเค็มจัด ซึ่งตอนนี้ทาง กรมพัฒนาที่ดินใช้เกณฑ์ในการแบ่งคือ ดูจากปริมาณคราบเกลือ ถ้าคราบเกลือประมาณ 1% จะเป็นดินเค็มน้อย คราบเกลือ 1-10% จะเป็นดินเค็มปานกลาง และคราบเกลือ 10-50% จะเป็นดินเค็มจัด สำหรับแนวทางในการดินเค็ม จะพิจารณาจากระดับความเค็มของดิน กรณีที่เป็นดินเค็มน้อย หรือดินเค็มปานกลางเกษตรกรส่วนใหญ่จะใช้ในการปลูกข้าว แต่ว่าผลผลิตจะอยู่ในระดับต่ำ โดยกรมพัฒนาที่ดินแนะนำเกษตรกรที่ปลูกข้าวในพื้นที่ดินเค็ม ต้องมีการเตรียมดินที่ดี ปรับระดับพื้นที่ให้สม่ำเสมอ และก็มีการปรับปรุงบำรุงดิน โดยเน้นใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่นโสนอัฟริกันซึ่งเป็นปุ๋ยพืชสด ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก และปลูกข้าวที่ทนต่อดินเค็ม เช่น ข้าวขาวดอกมะลิ 105 การจัดการน้ำที่ดี ในที่ๆ พอมีน้ำ หลังการเก็บเกี่ยวข้าว เกษตรกรพอที่จะปลูกพืชผักเศรษฐกิจได้ โดยปรับปรุงดินบำรุงด้วยอินทรียวัตถุ คือ แกลบ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด เลือกปลูกพืชทนเค็มเช่น หน่อไม้ฝรั่ง มะเขือเทศ กุยช่าย แตงแคนตาลูป บร็อคโคลี่ คะน้า และควรมีการคลุมดินหลังปลูกเพื่อรักษาความชื้นและป้องกันการสะสมของเกลือที่ผิวดิน ส่วนในกรณีที่เป็นดินเค็มจัด จะเน้นการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมก่อน โดยปลูกไม้ยืนต้นโตเร็วที่ทนเค็มจัด เช่น กระถินออสเตรเลีย (Acacia ampliceps) และหญ้าดิกซี่ ซึ่งเป็นหญ้าทนเค็ม ที่เรานำมาจากต่างประเทศเอามาปลูกและก็ขยายผลไปในพื้นที่ดินเค็ม ซึ่งเกษตรกรยอมรับ สภาพแวดล้อมเริ่มดีขึ้น ระบบนิเวศน์ดีขึ้นพืชพรรณและสิ่งมีชีวิตต่างๆ ก็จะกลับคืนมา ซึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนจากทุ่งเมืองเพีย ต.เมืองเพีย อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น หลังจากที่มีการนำพืชทนเค็มจัดดังกล่าวไปปลูกประมาณ 4-5 ปี ร่วมปรับปรุงบำรุงดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์ เกษตรกรสามารถกลับมาปลูกข้าวได้ อีกวิธีหนึ่งที่ใช้จัดการดินเค็มจัด คือ ใช้ทางด้านระบบวิศวกรรม โดยการขุดคูระบายน้ำเค็ม แต่จะลงทุนสูง ซึ่งทางกรมพัฒนาที่ดินก็มีโครงการนำร่องอยู่ที่เมืองเพียเช่นกัน โดยการขุดคูระบายน้ำ รักษาระดับน้ำใต้ดินไว้ และระบายน้ำเค็มออก หลังการดำเนินการความเค็มของดินก็จะลดลง เกษตรสามารถใช้พื้นที่ปลูกพืชได้
.jpg)
ไพรัช พงษ์วิเชียร
ส่วนในพื้นที่ที่ไม่เค็ม แต่มีศักยภาพที่อาจจะก่อให้เกิดปัญหาดินเค็มได้ อย่างพื้นที่ที่เป็นเนินที่เป็นพื้นที่รับน้ำ ควรที่จะปลูกป่ารักษาป่าเอาไว้เพื่อป้องกันการแพร่กระจายดินเค็ม แต่ว่ามีปัญหาอยู่ที่ต้องใช้ระยะเวลานาน เกษตรกรไม่ค่อยยอมรับมากนัก เกษตรกรต้องการปลูกพืชเศรษฐกิจอายุสั้นที่ได้ผลผลิตเร็ว ทางกรมพัฒนาที่ดินจึงมีการปรับแนวทางในการดำเนินการ โดยจัดทำโครงการพัฒนาบ่อน้ำบาดาลเพื่อสูบน้ำใต้ดินบริเวณดังกล่าวขึ้นมาใช้เพื่อลดระดับน้ำใต้ดิน ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งที่ใช้ได้ผล และเกษตรกรก็ยอมรับ เพราะว่าน้ำที่สูบขึ้นมา เกษตรกรสามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางการเกษตรในฤดูแล้งได้ โดยมีโครงการนำร่องอยู่ที่ จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดขอนแก่น โดยทางกรมพัฒนาที่ดินลงทุนขุดบ่อให้ นอกจากนี้ยังได้ให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันเป็นเครือข่ายกลุ่มผู้ใช้น้ำบนพื้นที่รับน้ำ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกษตรกรเอาน้ำขึ้นมาใช้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยป้องกันการแพร่กระจายดินเค็ม
นายไพรัชกล่าวอีกว่า จากแนวทางในการแก้ปัญหาดินเค็มที่กรมพัฒนาที่ดินได้ดำเนินการอยู่จนประสบความสำเร็จนั้น สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 5 จังหวัดขอนแก่น ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินการฟื้นฟู แก้ไขปัญหาดินเค็มแบบบูรณาการ ทั้งหน่วยงานในกรมพัฒนาที่ดิน มหาวิทยาลัยขอนแก่น สวทช. และภาคเอกชน เช่น SCG ให้เป็นรูปธรรมที่ทุ่งเมืองเพีย ต.เมืองเพีย อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น จนกลายมาเป็นโมเดลที่สามารถนำไปปรับใช้กับพื้นที่ที่มีปัญหาดินเค็มที่อื่นๆ ได้
.jpg)
สำหรับปี 2558 ซึ่งเป็นปีดินสากล (International Year of Soil 2015) นั้น กรมพัฒนาที่ดินจะเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมวิชาการเรื่องดินระดับชาติ เพื่อเฉลิมฉลองปีดินสากล ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-30 เมษายน 2558 ณ โรงแรมพูลแมน ขอนแก่น ราชาออร์คิด จังหวัดขอนแก่น การประชุมก็จะมีทั้งภาคบรรยาย ภาคนิทรรศการ และทัศนศึกษา โดยที่หนึ่งในพื้นที่ดูงานคือผลสำเร็จในการแก้ปัญหาดินเค็มที่เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมทุ่งเมืองเพีย จังหวัดขอนแก่น ที่จะแสดงให้เห็นถึงการจัดการปัญหาดินเค็มโดยเน้นการจัดการแบบบูรณาการ ทั้งคน ทั้งงาน ที่หลายๆ หน่วยงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น มหาวิทยาลัยขอนแก่น สวทช. SCG หน่วยงานภายในกรมพัฒนาที่ดิน ที่ทำงานร่วมกันที่สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 5 จนประสบผลสำเร็จ อย่างไรก็ตาม หวังว่าการประชุมครั้งนี้ นักวิชาการจะได้นำผลงานวิจัยที่เกี่ยวกับการจัดการดินที่มีปัญหาต่างๆ รวมทั้งปัญหาดินเค็ม มานำเสนอเผยแพร่และก็มีการแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นร่วมกัน ตลอดจนมีการสร้างเครือข่ายของนักวิชาการเกี่ยวกับดิน ไม่ใช่เฉพาะดินเค็มอย่างเดียวเกี่ยวกับดินทั้งหมด เพื่อเป็นประโยชน์กับเกษตรกรต่อๆไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี