พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.-คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้ไปเป็นประธานเปิดเวทีจุดประกาย“สานพลังประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก”เมื่อวันอาทิตย์ 20 กันยายนที่ผ่านมา อันเป็นการประกาศการขับเคลื่อน “ยุทธศาสตร์ประชารัฐ”อย่างเป็นทางการ ร่วมกันระหว่างภาครัฐ,ภาคประชาชนและภาคเอกชน
ยุทธศาสตร์“ประชารัฐ”ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนมาก ด้วยเป็นการชูขึ้นมาสู้กับ“ประชานิยม”ที่รัฐบาลจากนักการเมืองโดยเฉพาะพรรคการเมืองในระบอบทักษิณได้ใช้แย่งชิงอำนาจรัฐและครอบงำสังคมประเทศไทยมายาวนานกว่า 10 ปีมานี้
พล.อ.ประยุทธ์อธิบายความถึงแนวนโยบายการสานพลังประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากว่า ไม่ใช่นโยบายการหาเสียง แต่ถือเป็นการทำสัญญาร่วมกันระหว่างรัฐบาลกับประชาชน ที่จะร่วมกันแก้ไขความผิดพลาดในอดีตทั้งหมด…
ขณะที่นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโสในฐานะที่ปรึกษาการจัดงานนี้ชี้ว่าที่ผ่านมาประเทศไทยตกอยู่ในหลุมดำมีวิกฤติ 6 ประการคือ วิกฤติการเมือง,เศรษฐกิจ,สังคม,สิ่งแวดล้อม,ศีลธรรม และการพัฒนาคุณภาพคน ซึ่งไม่มีผู้ใด องค์กรใด หรือรัฐบาลที่จะนำประเทศออกจากวิกฤติเหล่านี้ได้ นอกจากภาครัฐ,ภาคประชาชนและภาคเอกชนจะร่วมมือกันเรียกว่า“ประชารัฐ” จึงจะออกจากวิกฤติได้ และการพัฒนาฐานรากของประเทศให้มีความแข็งแกร่ง จะรักษาความมั่นคงของประเทศได้ นับเป็นความคิดที่ออกจากทิฐิเดิมที่คิดแต่ว่าการเมืองดี ประเทศก็จะดี แต่ในทางกลับกันแล้ว การพัฒนาฐานรากให้มีความเข้มแข็ง ทำให้ประเทศไทยดี การเมืองก็จะดีเอง
งานดังกล่าวภาครัฐ,ภาคประชาชนและภาคเอกชนจึงร่วมกันประกาศปฏิญญาเครือข่าย“ประชารัฐ”ที่จะร่วมกันขับเคลื่อน 6 ประการคือ 1.เข้าไปมีส่วนรวมในการผลักดันในเกิดกระบวนการกระตุ้นนโยบายสร้างเศรษฐกิจฐานรากในทุกโอกาสและทุกช่องทาง 2.จะใช้ความพยายามขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เกิดความมั่นคงกับชีวิตเกษตรกรและผู้ใช้แรงงาน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคมไทย 3.จะมีส่วนร่วมฟื้นฟูทรัพยากรให้เป็นทุนสร้างเศรษฐกิจฐานรากและเป็นทุนพัฒนาความอยู่ดีมีสุขของประชาชนทุกกลุ่มวัย 4.ใช้ความพยายามทำให้เกิดการร่วมกันทำงานของภาครัฐ,ภาคเอกชนและภาคประชาชนในระดับตำบล อำเภอ จังหวัด 5.จะเป็นกลไกหนึ่งในกระบวนการสร้างพลเมืองอย่างสร้างสรรค์ นำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถของสมาชิกชุมชนและองค์กรซึ่งเป็นพลังพลเมืองที่เป็นกำลังสำคัญสร้างเศรษฐกิจ และ6.จะนำความคิดการสานพลังประชารัฐ แปลงสู่การปฏิบัติในพื้นที่
พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวตอนหนึ่งว่า สิ่งที่ตนกลัวคือ วันข้างหน้าจะไม่มีคนปลูกข้าวให้กิน เพราะรายได้ตกต่ำ มีแต่หนี้สิน
แต่คิดว่าภายในปีสองปีนี้ ทุกอย่างน่าจะดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นข้าว ยางพารา ถ้าเรามีการปรับตัว รัฐบาลจะทำเพื่อคนไทยทั้งประเทศ เราเป็นรัฐหนึ่งรัฐเดียวแยกจากกันไม่ได้ ทั้งพฤติกรรม นิตินัยและพฤตินัย ต้องเท่าเทียมกัน จัดสรรงบประมาณและทรัพยากรทั่วทุกภูมิภาค ต้องเชื่อมั่นไว้ใจกัน ประชาชนต้องเข้มแข็ง อย่าทำให้ใครเดือดร้อน ต้องมีสัญญาต่อกัน ซื้อสัตย์ นำเงินไป
ต้องใช้คืน อย่าเอาไปใช้ประโยชน์ทางการเมืองกลุ่มโน้นกลุ่มนี้ ทำให้เกิดคนสองข้างอยู่ตลอดเวลา...
ครับ นี่เป็นส่วนหนึ่งที่สรุปคร่าวๆ ถึงเนื้อหาของการประกาศขับเคลื่อน“ยุทธศาสตร์ประชารัฐ” ที่ผมต้องขอแสดงความชื่นชม เชื่อว่าเป็นแนวทางที่มาถูกทางแล้ว แม้ว่าแนวทางนี้ จะไม่สามารถทำให้เห็นผลได้อย่างรวดเร็ว ทันตา โดยนพ.ประเวศประเมิน เชื่อว่า อีก 10 ปีความร่วมมือในวันนี้จึงจะเกิดความสำเร็จได้ แต่การเริ่มต้นนับเป็นก้าวสำคัญ และเชื่อว่า ถ้าภาครัฐในยุคของรัฐบาลบิ๊กตู่ได้ช่วยกันเอาจริงเอาจัง ดำเนินโครงการต่างๆที่จะออกมาตามแนวทางประชารัฐอย่างเต็มที่ ก็จะเป็น“การปฏิรูป”ที่สำคัญเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาทุกๆด้าน ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่ของคนในระดับฐานราก เกษตรกรทั้งหลาย
ผมจึงขอร่วมยกมือเชียร์แนวทางนี้อย่างเต็มที่ แต่ที่สำคัญกลไกรัฐรวมถึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วย จะต้องให้ความร่วมมือ ทำงานกันอย่างจริงจัง
ถ้าทำได้อย่างต่อเนื่อง ในอนาคตหลังคสช.ส่งคืนประชาธิปไตยแล้ว ฐานรากของประเทศไทยก็คงจะมีภูมิคุ้มกันที่เพียงพอ จะได้พ้นจากการครอบงำของ“ประชานิยม”ผลาญชาติทั้งหลายกันเสียที
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี