มีข่าวว่า ทส.-กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่พล.อ.สุรศักดิ์กาญจนรัตน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการ อยู่ตอนนี้ กำลังเตรียมจะขอคืนพื้นที่ปลูกข้าวโพดกว่า 9 ล้านไร่ ที่บุกรุกป่า ทั้งนี้เพื่อสกัดปัญหาวิกฤติหมอกควันพิษภาคเหนือ ที่เกิดจากการเผาป่าปลูกข้าวโพดเป็นประจำทุกปี
ตามข่าว พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ให้สัมภาษณ์ระบุว่า เตรียมขอคืนพื้นที่ปลูกข้าวโพด เพราะเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาหมอกควันพิษและยังมีการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนด้วย โดยกำลังดูว่า เป็นไปได้ไหมที่จะให้ลดการปลูกข้าวโพดจากปัจจุบันที่ปลูกรุกพื้นที่ป่าถึง 9 ล้านไร่ ซึ่งต้องคิดว่า จะเอาพื้นที่คืนมาทำอะไร จะจัดสรรที่ทำกินหรือฟื้นฟูเต็มระบบ ก็ค่อยมาว่ากัน
“ขณะนี้ได้เริ่มสำรวจพื้นที่แล้ว โดยกรมป่าไม้สั่งการหน่วยพยัคฆ์ไพรเตรียมพร้อมปฏิบัติงานได้ทันที มีพื้นที่นำร่องที่อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ซึ่งส่วนไหนที่ปลูกไปแล้ว ก็จะให้ปลูกไปก่อน รอการเก็บเกี่ยวเสร็จ จึงจะเข้าไปเจรจา”
ขณะที่นักวิชาการอย่าง สาวิตร มีจุ้ย อาจารย์สถาบันวิจัยและฝึกอบรมการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ล้านนา ให้ข้อคิดว่า เรื่องนี้ต้องทำให้รอบคอบ ดูผลกระทบให้ครอบคลุม หาทางออกที่ประนีประนอม เตรียมแผนรองรับว่า ถ้าชาวบ้านไม่ปลูกข้าวโพดแล้ว จะให้ทำกินอะไร ต้องดูความจำเป็นทั้งหมด ขณะที่บางพื้นที่ควรสงวนไว้ เช่น ยอดเขา ซอกเขา โตกเขา ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำ ก็ต้องกำหนดให้เป็นป่าอย่างชัดเจน
ส่วนพื้นที่ป่าที่ขอคืนมาแล้ว จะเอาไปทำอะไรบ้าง ควรให้ประชาชนมีส่วนร่วม เช่น ควรวางแนวทางให้เป็นไปในรูปแบบ “วนเกษตร” คือ ปลูกป่าคืน แต่ก็ปลูกพืชเศรษฐกิจได้ด้วย เช่น ชา หรือไม้ผลเมืองหนาว กาแฟ เป็นต้น “การออกแบบนั้น ต้องร่วมกันทำงาน เพราะคนที่อยู่ในป่าถ้าเอาออกมา จะเอาเขาไปอยู่ที่ไหน ถ้าให้เขาอยู่ต่อไป ก็ต้องคิดให้เขาช่วยรักษาป่า ไม่รุกเพิ่มเติม ขณะเดียวกันต้องจัดสรรที่ดินทำกิน เท่าที่จะจัดสรรได้ ควรที่จะให้ชุมชนมีส่วนตัดสินใจ”
อ่านข่าวนี้แล้ว ในประเด็นเกี่ยวกับแนวทางหลังขอคืนพื้นที่ปลูกข้าวโพดรุกป่า ควรจะจัดการอย่างไรต่อไป ถือเป็นเรื่องใหญ่ซึ่งที่ผ่านมาก็มีความพยายามกันอย่างต่อเนื่องที่จะหาแนวทางทำให้“คนอยู่กับป่า” อย่างดีได้แบบไหน...ดังนั้นผมคงต้องขอตัวไม่เอ่ยถึง ปล่อยให้ผู้รู้ว่ากันต่อไปก่อน
ส่วนประเด็นที่อยากขยายตรงนี้ก็คือ เจตนาการขอคืนพื้นที่ปลูกข้าวโพดรุกป่า เพื่อสกัดปัญหาหมอกควันพิษจากการเผาป่าปลูกข้าวโพด ซึ่งช่วงเวลานี้ได้เข้าสู่หน้าแล้งแล้ว และใกล้เทศกาลแห่งการเผาป่าทางภาคเหนือที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี
การเผาป่าทางภาคเหนือกลายเป็นวิกฤติหมอกควันพิษครั้งร้ายแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์มาแล้ว ช่วงหน้าแล้งหนที่ผ่านมา ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วและรุนแรงถึงสุดขีดช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนต้นปีนี้ ส่งผลกระทบอย่างหนักทั้งต่อสุขภาพประชาชนและธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ เพราะเป็นปีที่ไทยต้องเผชิญกับ“เอลนินโญ” ภาวะแห้งแล้งที่สาหัสสากรรจ์
ขณะที่หน้าแล้งหนนี้ ว่ากันว่า จะยิ่งแล้งสาหัสกว่าหนก่อนอีก ดังนั้น หากยังปล่อยให้มีการเผาป่าตามวิถีแบบเดิม โดยไม่สำนึก ไม่ว่าจะเผาป่าเพื่อเตรียมพื้นที่ปลูกข้าวโพด หรือหวังหาของป่า หวังจะได้ “เห็ดเผาะ” หรืออะไรก็ตาม...นั่นย่อมหมายถึงหายนะภัยที่จะวิกฤติสุดขีดยิ่งขึ้นอีก
บทเรียนจากไฟป่าอินโดนีเซียซึ่งเกิดขึ้นซ้ำซากทุกปีเช่นเดียวกับการเผาป่าทางภาคเหนือของไทย แต่ปีนี้ช่วงเดือนกันยายน ถึงตุลาคม ที่เพิ่งผ่านไป มีความร้ายกาจ สร้างความหายนะร้ายแรงเป็นประวัติการณ์ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ก็เพราะภาวะแล้งจัดจาก“เอลนินโญ”หนุนเสริม ซึ่งหมอกควันพิษที่ทะลักไปทั่ว สร้างความเดือดร้อนแสนสาหัสลามจากอินโดนีเซีย ถึงเพื่อนบ้านหลายประเทศ รวมทั้งภาคใต้ของไทยด้วย ย่อมเป็นหลักฐานให้ประจักษ์ชัดว่า ถ้าภาคเหนือของไทยยังปล่อยปละให้เผาป่าแบบปีก่อนๆ จะเผชิญกับหายนะภัยหมอกควันพิษที่สุดวิกฤติขนาดไหน
ไม่เพียง ทส. ทั้งกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงมหาดไทยหน่วยงานปกครองท้องถิ่น ไปจนถึงรัฐบาลโดยร่วม ต้องตื่นตัว เร่งดำเนินมาตรการป้องกันอย่างเข้มแข็งได้ตั้งแต่บัดนี้แล้ว
สาโรช บุญแสง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี