พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ใช้อำนาจพิเศษมาตรา 44 อีกครั้งเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ออกคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 43/2558 โอนสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ(สบอช.)จากสำนักงานปลัดสำนักนายกฯให้ไปรวมกับสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรมทรัพยากรน้ำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
คำสั่งระบุว่า กรมทรัพยากรน้ำเป็นหน่วยงานหลักที่มีภารกิจเสนอแนะจัดทำนโยบายและแผนและมาตรการที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรน้ำ บริหารจัดการ พัฒนา อนุรักษ์ ฟื้นฟู รวมทั้งควบคุมดูแลกำกับ ประสาน ติดตาม ประเมินผลและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับทรัพยากรน้ำ พัฒนาวิชาการ กำหนดมาตรฐานและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านทรัพยากรน้ำทั้งระดับภาพรวมและระดับลุ่มน้ำ เพื่อการจัดการทรัพยากรน้ำที่เป็นเอกภาพและยั่งยืน ซึ่งขณะนี้การบริหารจัดการน้ำเป็นปัญหาสำคัญของประเทศที่ต้องเร่งแก้ไขโดยเร็ว ดังนั้น จึงสมควรโอน สบอช.ไปรวมกับสำนักงานเลขาฯคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เพื่อให้กรมทรัพยากรน้ำเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาและบริหารจัดการน้ำโดยรวมของประเทศ
ฟื้นความจำสักนิด สบอช.หน่วยงานที่ตั้งขึ้นยุครัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” หลังจาก “เอาไม่อยู่” กับน้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2554 ที่สร้างความเสียหายอภิมโหฬารให้ประเทศไทย จึงบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวกับเรื่องสภาพภูมิอากาศ,น้ำ,ภัยพิบัติและทรัพยากรธรรมชาติมาทำงานร่วมกันภายใต้ระบบ“ซิงเกิลคอมมานด์” ทั้งเป็นสำนักงานและฝ่ายเลขานุการดูแลเมกะโปรเจกท์ยักษ์เรื่องน้ำได้แก่โครงการบริหารจัดการน้ำวงเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท โดยมีนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกฯในเวลานั้น เป็นผู้ดูแลและตั้งใจจะแปลงโฉม สบอช.ให้เป็น “กระทรวงน้ำ”ต่อไป...ซึ่งน่าจะเป็นหลักการที่ดี
แต่ในทางปฏิบัติ โครงการเงินกู้ 3.5 แสนล้านที่ผลักดันมา กลับเต็มไปด้วยข้อครหาทั้งทุจริตผิดขั้นตอน ผลประโยชน์ทับซ้อน เอื้อประโยชน์แก่กลุ่มทุนก่อสร้างในแวดวงนักการเมือง และข้าราชการ อีกทั้งมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมระยะยาวซึ่งยากต่อการแก้ไข มีประชาชนได้รับกระทบจากโครงการและเกิดปัญหาความแตกแยก ถูกต่อต้านหนักจากทุกเวที จนศาลปกครองมีคำสั่งให้รับฟังความคิดเห็นประชาชนให้รอบด้านก่อน โครงการจึงพับไป
กระทั่งยุค คสช.กลุ่มนักวิชาการ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯนำโดยนายปราโมทย์ ไม้กลัด อดีตอธิบดีกรมชลประทานและนายบัญชา ขวัญยืน ประธานอนุกรรมวิศวกรรมแหล่งน้ำ เข้ายื่นหนังสือข้อเสนอเร่งด่วนการจัดการน้ำต่อพล.อ.ประยุทธ์ ให้ทบทวนโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน และขอให้ยุบ สบอช.
นี่เป็นที่มาที่ไป นำมาสู่คำสั่งยุบรวมสบอช.ดังกล่าว ซึ่งต้องติดตามกันต่อไปคือ การบริหารจัดการน้ำภายใต้รัฐบาลยุคนี้ จากนี้ไปจะมีประสิทธิภาพดีขึ้นแค่ไหน
ก่อนหน้านี้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาหรือ TDRI ได้นำเสนอผลศึกษาน่าสนใจเรื่อง “น้ำท่วม น้ำแล้ง กับการบริหารจัดการน้ำ” ที่ผมเคยนำมาสรุปไปแล้วครั้งหนึ่ง หัวใจหลักๆ มีการวิพากษ์การแก้ไขปัญหาเวลาเกิดน้ำท่วมหรือภัยแล้ง ที่รัฐบาลทุกยุคมักนึกถึงเพียงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง ฟลัดเวย์ เขื่อน ฝาย บ่อน้ำ ฯลฯ แต่สิ่งที่ไม่ค่อยให้ความสนใจมากนัก คือ การบริหารจัดการน้ำที่ดีพอ ทั้งที่มีความสำคัญมากและทำได้โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ที่กล่าวมาซึ่งล้วนมีผลกระทบ
ต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์ไม่มากก็น้อย
ล่าสุด ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ นักวิชาการคนสำคัญของ TDRI เขียนบทความย้ำเรื่องนี้ในชื่อ “น้ำท่วม น้ำแล้ง กับการบริหารจัดการน้ำ (อีกครั้ง)” ผมอ่านเจอในสำนักข่าวอิศรา เนื้อหาดีมาก ท่านที่สนใจไปหาอ่านดูละเอียดได้ โดยมีการนำเสนอการบริหารจัดการน้ำที่ดี มีรูปร่างหน้าตาอย่างไร ถอดบทเรียนจากประสบการณ์ประเทศชั้นแนวหน้าในด้านการบริหารจัดการน้ำเช่น ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์ เป็นต้น แล้วเปรียบเทียบดูจุดอ่อนของไทยที่ยังทำได้ไม่เป็นสากล
สิ่งที่ผมอยากตอกย้ำตรงนี้คือ รัฐบาลที่ผ่านมาๆอ้าง “บูรณาการบริหารจัดการน้ำ” แต่กลับนิยมแก้ปัญหาน้ำท่วมภัยแล้งด้วยโครงการ “สิ่งก่อสร้าง” ต่างๆ เหมือนเช่นโครงการเงินกู้ 3.5 แสนล้านนั้น เป็นที่ชัดเจนว่า เพราะแอบแฝงด้วยการหาผลประโยชน์ กลายเป็นการทุจริตเชิงนโยบายไป
ก็หวังว่า รัฐบาลคสช.ยุคนี้ จะให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการที่ดีเป็นสำคัญ แม้จะปฏิเสธเรื่องสิ่งก่อสร้างไม่ได้ แต่ก็ต้องทำอย่างรอบคอบ โปร่งใส ผ่านการศึกษาอย่างดี คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของส่วนรวมเป็นสำคัญ...หวังว่าจะไม่เหมือนรัฐบาลผ่านๆ มาที่มุ่งหวังแต่การหา“เงินทอน”
สาโรช บุญแสง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี