ดีเอสไอตามบี้"สมเด็จช่วง" มอบเบนซ์เถื่อน ลูกศิษย์หาช่องยื้ออ้างไม่ผิด

ดีเอสไอตามบี้"สมเด็จช่วง" มอบเบนซ์เถื่อน ลูกศิษย์หาช่องยื้ออ้างไม่ผิด

วันอาทิตย์ ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559, 06.00 น.
Tag :

ดีเอสไอตามบี้”สมเด็จช่วง”

มอบเบนซ์เถื่อน

ลูกศิษย์หาช่องยื้ออ้างไม่ผิด

ศุลกากรคำนวนเก็บภาษี

สัมนาสงฆ์ยันไม่ก่อหวอด

ชี้เป็นกรรมเก่าวัดปากน้ำ

ความคืบหน้ากรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)แถลงผลตรวจสอบการครอบครองรถยนต์เมอร์เซเดสเบนซ์ รุ่น 300 บี ทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งพบว่าผิดกฎหมายทุกขั้นตอน ตั้งแต่การนำเข้า ประกอบ จ่ายภาษี จดทะเบียน และมีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก ต่อมา นายวิชาญ รัษฐปานะเจ้าบริษัทแอนซีทรานสฟอร์เมอร์ จำกัด ซึ่งเป็นอู่ที่ประกอบรถเบนซ์คันดังกล่าว และ นางกาญจนา มาเหมือน อายุ 69 ปี เจ้าของอู่ N.P.การาจ ที่โดนปลอมลายเซ็นต์ในการจดประกอบรถ ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนดีเอสไอ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานั้น

เผยหลวงพี่แป๊ะจ้างประกอบรถ


เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวิชาญได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่เป็นประโยชน์กับพนักงานสอบสวนดีเอสไอ โดยระบุว่า พระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ หรือพระธนกิจ สุภาโว (ศรีอุ่นเรือน) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำและนายอ๊อด (ไม่ทราบชื่อ-สกุลจริง) ลูกน้องนายพิชัย วีระสิทธิกุล เจ้าของ หจก.อ๊อด 89 เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ บ.เซ้งเชียงฮวด มาพบและตกลงกันว่าจะเป็นผู้นำเครื่องยนต์ ตัวถังและอะไหล่ทั้งหมดมาให้อู่ของตนเป็นผู้ประกอบ โดยใช้เวลาประกอบรถ 9 เดือน นอกจากนี้มีการดัดแปลงตัวถังรถคือ ตัดหลังคาเดิมออกและใส่หลังคาผ้าใบสีแดงแบบเปิดประทุนเข้าไปแทน ซึ่งรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่น 300 บี หรือที่เรียกกันว่า รุ่น เอสคลาส ผลิตที่อเมริกา มีประมาณ 100 คันทั่วโลกเท่านั้น และไม่มีรุ่นเปิดประทุนหลังคา

DSIแบ่งผู้ต้องสงสัย4กลุ่ม

นอกจากนี้พนักงานสอบสวนดีเอสไอยังได้จัดกลุ่มผู้ต้องสงสัยที่มีส่วนร่วมในรถโบราณคันนี้เป็น 4 กลุ่ม 1.กลุ่มผู้นำเข้าเครื่องยนต์ ตัวถังและอะไหล่ทั้งหมด มีนายพิชัย วีระสิทธิกุล นายอ๊อด(ไม่ทราบชื่อ-สกุลจริง) นายวิฑูรย์ วรนาถโสภิต นายยงยุทธ์(ไม่ทราบชื่อ-สกุลจริง) และนายวสุ(ไม่ทราบชื่อ-สกุลจริง) ทั้งหมดเป็นลูกน้องนายพิชัย 2.กลุ่มนำรถไปประกอบขึ้นใหม่ มีนายวิชาญ นายพิชัยและหลวงพี่แป๊ะ 3.กลุ่มนำเอกสารไปจดกับกรมสรรพสามิตร มีนายชลัส นิติฐิติวงษ์ เป็นผู้ไปหลอกให้ นางกาญจนา มากเหมือน เจ้าของอู่ N.P.การาจ ทำใบอนุญาติให้อู่นางกาญจนาสามารถประกอบรถจดประกอบได้ ก่อนส่งเอกสารไปดำเนินการที่กรมสรรพสามิตร 4.กลุ่มนำเอกสารไปจดกับกรมขนส่งทางบก มีนายสมนึก บุญประไพ เป็นผู้ปลอมลายเซ็นต์นางกาญจนา นำเอกสารปลอมไปดำเนินการที่กรมขนส่งทางบก

ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนดีเอสไอกำลังประสานผู้ต้องสงสัยทั้งหมดที่ยังไม่เข้ามาพบมาสอบสวนให้ปากคำ หากยังไม่เข้ามาพบจะออกหมายเรียก สุดท้ายหากมีพฤติกรรมหลบหนีจะดำเนินการออกหมายจับตามขั้นตอนกฏหมายต่อไป

เหลืออีก3รายยังไม่เข้าให้ปากคำ

สำหรับในส่วนผู้ที่มาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนก่อนหน้านี้แล้วมี 1.นายสมนึก บุญประไพ 2.นายวสุ(ไม่ทราบชื่อ-สกุลจริง) 3.นายวิชาญ รัษฐปานะ 4.หลวงพี่แป๊ะ 5.นางกาญจนา มาเหมือน ส่วนที่ยังไม่เข้ามาให้ปากคำคือ 1.นายพิชัย วีระสิทธิกุลหรือนายอ๊อด 2.นายวิฑูรย์ วรนาถโสภิต 3.นายยงยุทธ์(ไม่ทราบชื่อ-สกุลจริง)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในสัปดาห์หน้าทางพนักงานสอบสวนจะทำหนังสือถึง สมเด็จช่วง และ หลวงพี่แป๊ะ เพื่อขอเข้าพบไปสอบปากคำเพิ่มรวมทั้งขอเอกสารเพิ่มเติม

กรมศุลกากรขอข้อมูลเบนซ์จากDSI

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดกรมศุลกากรได้ประสานมายังอธิบดีดีเอสไอเพื่อขอข้อมูลการตรวจสอบรถเบนซ์คลาสสิคของสมเด็จช่วง โดยในวันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ นี้ ดีเอสไอจะนำข้อมูลในชั้นสืบสวนซึ่งพบขั้นตอนการนำเข้าผิดกฎหมาย มีการสำแดงราคาต่ำเพื่อชำระภาษีต่ำกว่าความเป็นจริง และเป็นการนำเข้าตัวถังรถยนต์ เครื่องยนต์ และอุปกรณ์ส่วนควบเป็นชุดสมบูรณ์ ไม่ใช่การแยกชิ้นส่วนของรถจดประกอบ เพื่อให้กรมศุลกากรนำข้อมูลไปประเมินภาษีในส่วนที่ชำระไว้ไม่ครบถ้วน พร้อมค่าปรับ

DSIตั้งกก.สอบเบนซ์23กพ.

พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กล่าวว่า ตามขั้นตอน เมื่อทราบว่าเป็นรถผิดกฏหมายก็ต้องยึดไว้เป็นของกลาง โดยในวันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์นี้ ตนจะลงนามคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนอย่างเป็นทางการ ซึ่งมี พ.ต.ท.อนุรักษ์ โรจนนิรันดร์กิจ ผบ.สำนักคดีภาษีอากร เป็นหัวหน้าชุด พร้อมกันนี้จะมีหนังสือแจ้งผลการสืบสวนทั้งหมดไปยังวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และขอนัดเข้าสอบปากคำสมเด็จช่วง เกี่ยวกับรายละเอียดในการครอบครองรถ และการเซ็นต์ซื่อในเอกสารการโอนรถยนต์

ให้เกียรติสมเด็จช่วง-ไม่บุกยึดรถ

พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวว่า ในช่วงวันหยุดยาวนี้จะไม่มีการส่งเจ้าหน้าที่ไปรับรถคันดังกล่าวที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เนื่องจากสมเด็จช่วง ถือเป็นพระชั้นผู้ใหญ่ การดำเนินการต้องเป็นไปอย่างสมเกียรติ แต่หากสมเด็จช่วงประสงค์จะส่งมอบรถของกลางให้ดีเอสไอโดยเร็วก็สามารถประสานมาที่พนักงานสอบสวน ซึ่งพร้อมดำเนินการเข้าไปรับรถได้ทันที

ฝ่ายกม.วัดฯขอรอดูท่าทีDSI

ด้าน นายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร ฝ่ายกฏหมายวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กทม. กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวสมเด็จช่วง เปรยกับคนใกล้ชิดว่าไม่ประสงค์จะรับรถยนต์ไว้อีกแล้วว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ขณะนี้ยืนยันว่าเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น ต่อข้อถามว่าดีเอสไอระบุว่าการสืบสวนพบว่ารถเบนซ์ที่สมเด็จช่วงครอบครองเป็นรถผิดกฏหมาย จึงต้องยึดรถไว้เป็นของกลางนั้น ทางวัดฯ จะดำเนินการอย่างไร นายศุภภัทร์พจน์ กล่าวว่า ทราบมาว่าในการแถลงข่าวทางดีเอสไอบอกว่าผลการสอบออกมาถูกหรือไม่ถูก ก็จะมาพบสมเด็จช่วง เพื่อสอบปากคำที่วัดปากน้ำเอง ดังนั้น ทางฝ่ายกฏหมายของวัดฯ ก็จะรอให้ทางเจ้าหน้าที่ของดีเอสไอเป็นฝ่ายติดต่อมาก่อน ต้องให้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเห็นมาว่าจะให้เราดำเนินการอย่างไร ทางวัดฯ ก็จะดำเนินการไปตามนั้น

ลูกศิษย์ยันไม่ผิด-ยังไม่คืนรถ

นายศุภภัทร์พจน์ ยืนยันว่า ทางวัดฯ ไม่มีปัญหาที่จะปฏิบัติตามขั้นตอนกฏหมาย เพราะที่ผ่านมาก็ได้ยืนยันมาโดยตลอดว่าสมเด็จช่วงครอบครองรถโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นรถผิดกฏหมาย วัดปากน้ำจะไม่ส่งมอบรถให้กับทางดีเอสไอก่อนที่จะติดต่อมาว่าจะให้ดำเนินการอย่างไร เพราะมองว่าไม่ได้ส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของสมเด็จช่วง แต่ถ้าคืนรถคันดังกล่าวให้ดีเอสไอก่อนที่จะแจ้งเป็นทางการว่าให้ทำอย่างไร ก็จะยิ่งเท่ากับยอมรับว่าทำผิด ทั้งที่ท่านไม่ได้มีความผิดแต่อย่างใด

ตร.พร้อมรับสถานการณ์22กพ.

ขณะที่ พล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีการส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือในกลุ่มพระสงฆ์ เพื่อนัดหมายให้มารวมตัวกันในเวลา 09.30 น. วันที่ 22 กุมภาพันธ์ ซึ่งตรงกับวันมาฆบูชา ที่สนามหลวงกับพุทธมณฑล จ.นครปฐม จากนั้นจะเดินทางไปรวมตัวกันหน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อแสดงสังฆามติ เกี่ยวกับสถานการณ์ของคณะสงฆ์ และพระพุทธศาสนาในปัจจุบันว่า ตนได้รับรายงานจากผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ว่า จะมีกลุ่มพระสงฆ์เดินทางมารวมตัวกันจัดกิจกรรมในวันมาฆบูชา ซึ่งเป็นการมารวมตัวนั่งวิปัสนา สวดมนต์ ทำกิจกรรมสงฆ์ แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อความไม่ประมาท จึงได้มีการเตรียมกำลังทั้งตำรวจท้องที่ชุดสืบสวน และหน่วยปราบจราจล ดูแลพื้นที่โดยรอบพุทธมณฑล จ.นครปฐม และไม่อนุญาตให้นำรถยนต์เข้าไปด้านใน

เปิดผลสำรวจการปฏิรูปพุทธศาสนา

วันเดียวกัน ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “การปฏิรูปพุทธศาสนา” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 17–18 กุมภาพันธ์ 2559 จากประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธทั่วประเทศ ทุกระดับการศึกษาและอาชีพ รวมทั้งสิ้น 1,252 ตัวอย่าง เกี่ยวกับการปฏิรูปพุทธศาสนา

ส่วนใหญ่เห็นควรดำเนินการด่วน

จากผลการสำรวจ เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการปฏิรูปพุทธศาสนาทั้งระบบ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 44.25 ระบุว่า เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน รองลงมา ร้อยละ 30.35 ระบุว่า เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการ แต่ไม่เร่งด่วน ร้อยละ 21.96 ระบุว่า ไม่มีความจำเป็นในการปฏิรูปพุทธศาสนาเลย ร้อยละ 3.44 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ เมื่อเปรียบเทียบกับผลสำรวจในปี 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งมีร้อยละ 52.60 ระบุว่า เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน รองลงมา ร้อยละ 24.34 ระบุว่า เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการ แต่ ไม่เร่งด่วน ร้อยละ 19.30 ระบุว่า ไม่มีความจำเป็นในการปฏิรูปพุทธศาสนาเลย ร้อยละ 3.76 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ

ไม่ค่อยเชื่อมั่นการทำงานของมส.

ความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อประสิทธิภาพในการทำงานของมหาเถรสมาคม(มส.)ในการดำเนินงานเพื่อรักษาหลักพระธรรมวินัยและปกครองคณะสงฆ์ พบว่า ประชาชน ร้อยละ 10.62 ระบุว่า มหาเถรสมาคมดำเนินงานเพื่อรักษาหลักพระธรรมวินัยและปกครองคณะสงฆ์มีประสิทธิภาพสูง รองลงมา ร้อยละ 27.48 ระบุว่า ดำเนินงานค่อนข้างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ส่วนใหญ่ ร้อยละ 34.83 ระบุว่า ดำเนินงานไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ ร้อยละ 16.29 ระบุว่า ไม่มีประสิทธิภาพเลย และร้อยละ 10.78 ไม่แน่ใจ

ชี้“ตัดทางโลกไม่ขาด”ต้นตอปัญหา

เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อสาเหตุ/ปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดปัญหาของพุทธศาสนาในปัจจุบัน พบว่า ประชาชน ร้อยละ 46.33 ระบุว่า พระสงฆ์ตัดไม่ขาดจากทางโลกแต่มาออกบวช รองลงมา ร้อยละ 30.83 ระบุว่า การปกครองภายในวัดไม่มีประสิทธิภาพทำให้มีข่าวฉาวเป็นประจำ เช่น พระสงฆ์เสพยาบ้า ดื่มสุรา ยุ่งสีกา ร้อยละ 29.63 ระบุว่า พระสงฆ์หลงในวัตถุนิยมหรือบริโภคนิยม ร้อยละ 24.36 ระบุว่า พระสงฆ์ยุ่งการเมือง/เลือกข้าง ร้อยละ 18.45 ระบุว่า พระสงฆ์หลงในลาภ ยศ สรรเสริญและตำแหน่งทางสงฆ์ ร้อยละ 15.02 ระบุว่า วัดมีความเป็นพุทธพาณิชย์/เน้นวัตถุนิยม ร้อยละ 13.42 ระบุว่า ญาติโยม/ลูกศิษย์ชอบชักนำให้พระสงฆ์ประพฤติหรือทำกิจกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือผิดหลักพระธรรมวินัย ร้อยละ 12.78 ระบุว่า พระสงฆ์ไม่อยู่ในหลักพระธรรมวินัยพูดจาไม่สุภาพ มีพฤติกรรมก้าวร้าว

องค์กรที่ดูแลขาดประสิทธิภาพ

ร้อยละ 9.82 ระบุว่า องค์กรที่ดูแลพุทธศาสนาอ่อนแอขาดประสิทธิภาพในการตรวจสอบป้องกัน ร้อยละ 8.87 ระบุว่า การบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดโดยทั่วไปในปัจจุบันไม่มีความโปร่งใส ร้อยละ 8.07 ระบุว่า วัดและพระสงฆ์มีการแบ่งชั้นวรรณะ ร้อยละ 7.91 ระบุว่า พระสงฆ์มีคำสอนที่บิดเบือนรวมถึงการโฆษณาอภินิหารเกินความจริง (อวดอุตริมนุสธรรม) ร้อยละ 6.47 ระบุว่า วัดและพระสงฆ์เน้นพิธีกรรมทางไสยศาสตร์มากกว่า คำสอนทางพุทธศาสนา ร้อยละ 4.95 ระบุว่า คนบวชเป็นพระเพราะไม่มีอะไรจะทำ จึงเกาะวัดกิน ร้อยละ 4.07 ระบุว่า พระสงฆ์หลงตัวเอง

ญาติโยม-ศิษย์หลงจนขาดสติ

ร้อยละ 3.83 ระบุว่า ญาติโยม/ลูกศิษย์ หลงใหลในพระสงฆ์หรือวัดจนขาดสติ ไม่พิจารณาให้รอบครอบว่า วัดมีคำสอนที่บิดเบือนหรือไม่ พระสงฆ์ปฏิบัติอยู่ในหลักพระธรรมวินัยหรือไม่ ร้อยละ 3.19 ระบุว่า วัดโฆษณาชวนเชื่อให้คนทำบุญเกินตัว/เกินเหตุจำเป็น มีการเลือกคนทำบุญเฉพาะคนรวย ร้อยละ 2.80 ระบุว่า พระสงฆ์ไม่สามารถปกครองกันเองได้ ร้อยละ 2.56 ระบุว่า พุทธศาสนาในปัจจุบันไม่มีปัญหาใดๆ เลย ขณะที่ อีกร้อยละ 0.40 ระบุว่าเกิดจากเหตุผลอื่นๆ ได้แก่ จากทั้งตัวชาวบ้านและพระสงฆ์เองที่ไม่มีการคัดกรองพระที่มาบวชทำให้ได้พระสงฆ์ที่ไม่มีคุณภาพ อีกทั้งพระปลอมเยอะและเกี่ยวข้องผลประโยชน์ คนเลยไม่ค่อยเข้าวัดทำบุญจึงทำให้ศาสนาดูไม่สำคัญ และร้อยละ 2.32 ไม่ระบุ/ไม่มีความเห็น

ระดมสมองแก้ปัญหาสงฆ์

วันเดียวกัน ที่ห้องประชุมอาคารสุชีพ ปุญญานุภาพ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย(มมร) อ.ศาลายา จ.นครปฐม    พระเทพวิสุทธิกวี(เกษม สญฺญโต) ประธานศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย(ศพศ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชาธิวาส กล่าวภายในงานสัมมนา หัวข้อ "ทิศทางพระพุทธศาสนา ในสถานการณ์ปัจจุบัน" โดยมีพระสอนศีลธรรม ครูสอนวิชาพระพุทธศาสนา ผู้บริหาร โรงเรียนพระปริยัติธรรม และประชาชนทั่วไปร่วมงาน ว่า คณะสงฆ์ 2 ฝ่ายระหว่างธรรมยุตกับมหานิกายทุกระดับไม่ได้มีความขัดแย้งกัน ที่สังคมมองว่าคณะสงฆ์มีความขัดแย้งเพราะมีพระรูปหนึ่ง ที่ไม่ถือว่าเป็นคณะสงฆ์ร่วมกับฆราวาสมาขัดแย้งกับคณะสงฆ์ หากคณะสงฆ์มีความขัดแย้งจะสามารถแก้กันภายในเองได้ ถึงอยู่ด้วยกันมากว่า แต่ขณะนี้คณะสงฆ์กำลังถูกแทงด้วยหอก คนที่จับหอกก็พอทราบว่าเป็นใครแต่เบื้องหลังผู้สั่งการยังไม่ทราบ ปัญหานี้โดยส่วนตัวมองว่าทางภาครัฐน่าจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหา โดยไปทำความเข้าใจกับฝ่ายที่สร้างปัญหาให้เขาหยุดการกระทำ หากขอร้องกันไม่ได้ต้องใช้มาตรกาสั่งห้ามใช้สื่อและใช้สถานที่ราชการ มาพาดพิงคณะสงฆ์ หากแก้ไขได้ปัญหาจะทุเลา

กรรมเก่าสมเด็จช่วง/22กพ.ไม่มีม็อบ

"สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (สมเด็จช่วง) ไม่รู้มีกรรมเก่าตั้งแต่อดีตชาติหรือไม่ จะขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช ยังมีผู้มาขัดแย้ง แต่ก็เข้าใจได้แม้พระพุทธเจ้ายังมีผู้ต้องการแย่งตำแหน่ง ดังนั้นท่านคงต้องใช้ขันติธรรมสู้ ส่วนวันที่ 22 กุมภาพันธ์นี้ พระสงฆ์จะออกมาชุมนุมหรือไม่ คงไม่ออกมาเพราะรัฐบาลรับเงื่อนไขของคณะสงฆ์ไปดำเนินการแล้ว

ส่วนก่อนหน้านี้ที่พระสงฆ์ออกมาชุมนุมนั้น เพื่อต้องการให้รัฐบาลทราบว่าปัญหาบ้านเมืองไม่ได้มีอยู่แค่นี้ คณะสงฆ์กำลังมองว่านี่คือกระบวนการล้มพระพุทธศาสนา ที่เป็นสถาบันหลักของคนไทย ที่เชื่อมโยงไปสู่สถาบันการล้มสถาบันอื่นๆด้วย ดังนั้นเราต้องศึกษาปัญหาที่เคยบกพร่องในอดีต และมองปัจจุบัน เพื่อมองอนาคตว่าจะตั้งหลักอย่างไร ให้สังคมไทยอยู่ได้ไม่ต้องตกเป็นทาสของใคร" พระเทพวิสุทธิกวี กล่าว

เผยสงฆ์นำการเมืองมาแทรก

ด้านพระราชญาณกวี(สุวิทย์ ปยวิชฺโช) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก กล่าวว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในคณะสงฆ์ขณะนี้ ไม่รู้ว่าเป็นแผนการของใคร เพราะเห็นแต่ปลายหอกที่ทิ่มแทงแต่ไม่เห็นผู้จับด้ามหอก จึงต้องย้อนไปช่วงที่สมเด็จพระญาณสังวร วัดบวรนิเวศวิหาร ได้รับการสถาปนาแต่งตั้งเป็นสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 19 เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2532 ระหว่างที่พระองค์ดำรงตำแหน่งกว่า 30 ปีนั้นได้เกิดเหตุการณ์ใหญ่เกี่ยวกับคณะสงฆ์ถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกเกิดหลังจากการสถาปนาไม่นาน ในเดือนพฤษภาคม ปี 2532  มหาเถรสมาคม(มส.)ได้ประกาศบัพพาชนียกรรม ต่อพระโพธิรักษ์ สำนักสันติอโศก ซึ่งเหมือนเป็นการลงโทษประหารแต่ไม่ตาย เพราะแยกตัวออกไปตั้งอีกลัทธิก่อน ต่อมาเหตุการณ์ครั้งที่ 2 เมื่อสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระลิขิตให้พระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ต้องอาบัติปาราชิก เหมือนสั่งประหารแต่ฆ่าไม่ตายเช่นเดียวกัน  ต่อมาทั้ง 2 องค์กรนี้ กลับขยายตัวใหญ่โตเพิ่มขึ้น จนต้องนำการเมืองเข้ามาแทรก

พระราชญาณกวี กล่าวต่อว่า บุคคลบางกลุ่มโยงสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ให้ไปเกี่ยวพันกับวัดพระธรรมกาย เพื่อใส่ร้ายให้ท่านมีมลทิน และขึ้นสู่ตำแหน่งสมเด็จสังฆราชไม่ได้ นี่เป็นการกระทำที่มากเกินไปหรือไม่ ขณะเดียวกันสถานะของมส.ตอนนี้ทำไมจึงถูกคนดูหมิ่นดูแคลนมากเหลือเกิน อาตมาในฐานะผู้อยู่ภายใต้การปกครองของมส.รู้สึกไม่สบายใจ ขณะนี้มส.มีมติอะไรออกมาคนขัดแย้งหมด ดังนั้น เพื่อไม่ให้สถาการณ์ลุกลามหากใครที่ต้องการปฏิรูปกิจการคณะสงฆ์ให้ร่างเป็นหนังสือและนำไปกราบเรียนมส.โดยตรง หากท่านปรารถนาดีไม่จำเป็นต้องโพทนาผ่านสื่อ

พ.ศ.ชี้5ประเด็นสั่นคลอนสงฆ์

ขณะที่นายอำนาจ บัวศิริ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักงานาพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) กล่าวว่า ตนวิเคราะห์สถานการณ์ในคณะสงฆ์ได้ 5 ประเด็นดังนี้ 1.ฝ่ายบริหารบ้านเมืองที่ดูแลงานด้านพระศาสนา ไม่ได้ทำงานตามหน้าที่ด้วยความศรัทธา 2.คณะสงฆ์ควรปฏิรูปตัวเอง ไม่ใช่ให้ผู้อื่นมาปฏิรูป 3.พุทธบริษัท ไม่มีความเข้มแข็ง มีปริมาณมากแต่ไม่มีคุณภาพ 4.เยาวชนรุ่นใหม่ไม่ใส่ใจพระพุทธศาสนา เพราะติดโซเชียลมีเดีย และ5.ภัยจากศาสนาอื่นที่มาแทรกแทรงกิจการคณะสงฆ์ ทั้งนี้ อยากฝากประเด็นทั้งหมดให้ผู้อำนวยการพศ.ดูแลสร้างความเข้มแข็งให้พุทธบริษัทและบุคคลากรในองค์กรให้ทำงานเพื่อพระพุทธศาสนาด้วยจิตสำนึกและสติปัญญา

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top