กรมอุทยานบุกสอบ
ซีวิวรีสอร์ทรุกที่รัฐ
เจ้าของออกโรงโวย
ทำคดีซ้ำซ้อนไม่ได้
เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.ส่วนจัดการต้นน้ำ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่1 (ปราจีนบุรี) ทำหน้าที่หัวหน้าชุดพญาเสือ ศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ผู้พิทักษ์อุทยานแห่งชาติ และสัตว์ป่า ชุดปฏิบัติการพญาเสือ พร้อมด้วย นายวีระ ขุนไชนรักษ์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเกาะช้าง และอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว อ.ขลุง จ.จันทบุรี ร่วมอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด จ.ระยองและนาวิกโยธินจากหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด รวมกว่า 200นาย เข้าตรวจสอบจุดชมวิวไก่แบ้ ต.เกาะช้าง อ.เกาะช้าง จ.ตราด พร้อมชี้แจงเรื่องการเข้าทำการตรวจยึดพื้นที่บุกรุกอุทยานแห่งชาติหมูเกาะช้าง ตามหมายศาลเลขที่26/2599 ออกวันที่ 14 มิถุนายน2559 ออกโดยศาล จ.ตราด เพื่อตรวจสอบพื้นที่ตั้งของโรงแรมที่มีการบุกรุกเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง
จากนั้น นายชัยวัฒน์และนายวีระ เดินเท้าไปยังที่ตั้งโรงแรมซีวิว รีสอร์ท แอนด์ สปา เพื่อยื่นหมายค้นให้แก่เจ้าของโรงแรม คือ นายพิสูจน์ รัตน์วงษ์ มี นายกัมพล ดาราพงษ์ ทนายความที่ได้รับการมอบอำนาจจาก นายพิสูจน์ มาต้อนรับและนำตรวจสอบพื้นที่ โดยเริ่มจากจุดที่ 1 ซึ่งเป็นที่ตั้งของประตูรั้วที่อยู่ตอนบน และพื้นที่ติดชายหาดที่มีพื้นที่ติดกับโรงแรมสยามเบย์ รีสอร์ท เป็นจุดที่ 2 เพื่อเทียบกับพิกัดว่ามีการบุกรุกจริงหรือไม่
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า พื้นที่ในเอกสารสิทธิของโรงแรมฯ มี น.ส.3 ก.จำนวน 42 ไร่ แต่มีการออกเอกสารสิทธิเพิ่มเติมอีก 2 ครั้ง จากเดิม 14 ไร่ มาเป็น 38 ไร่ และอีกครั้งมาเป็น 42 ไร่ ในปี 2545 และ 2558 ทำให้มีพื้นที่บุกรุกที่ดินของอุทยานฯเ กาะช้าง จึงต้องเข้าทำการตรวจยึด และดำเนินคดีต่อผู้บุกรุก ซึ่งเป็นคนละคดีกับที่ ปปท.ดำเนินคดี เพราะการดำเนินคดีครั้งนั้นเป็นเรื่องการสนับสนุน แต่คดีนี้เป็นเรื่องของการบุกรุกที่ดินของอุทยานฯ ซีวิว เจ้าหน้าที่อุทยานฯ เกาะช้าง 2 คนที่มารับรองการรังวัดครั้งนั้นได้ถูกออกจากราชการไปแล้ว จากผลการตรวจสอบในครั้งนี้ พบว่า มีการบุกรุกที่ดินจริงตามที่ได้มีการระบุในเอกสาร จึงทำการยึดพื้นที่ไว้ และแจ้งความดำเนินคดีต่อ นายพิสูจน์ รัตน์วงษ์ ในข้อหาบุกรุกที่ดินอุทยานฯ เกาะช้าง และจะนำป้ายมาติดประกาศไม่ให้ใช้พื้นที่ด้วย
“เนื่องจากเจ้าของที่ดินเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ ทางอุทยานฯ ต้องดำเนินการให้เกิดความถูกต้อง ซึ่งที่ผ่านมา มีการร้องเรียนจากหลายหน่วยงาน และแม้จะเข้ามาตรวจสอบ แต่คดีไม่มีความคืบหน้า ซึ่งก่อนหน้านี้ มีเจ้าหน้าที่อุทยานฯ 2 คน ต้องถูกไล่ออกจากราชการเพราะเป็นลงนามรับรองแนวเขต น.ส.3 ก. ซึ่งที่ดินแปลงนี้ได้มาอย่างไม่ถูกต้อง ทางอธิบดีกรมอุทยานฯ ได้มอบหมายให้มาดำเนินการอย่างไม่ละเว้น และเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะ ทั้งนี้ ทางกรมอุทยานฯ จะไม่เลือกปฏิบัติต่อรายใดรายหนึ่ง ”
ทางด้าน นายกัมพล กล่าวว่า ที่ผ่านมา นายพิสูจน์ รัตน์วงษ์ ถูกดำเนินคดีจาก ปปท.มาแล้ว แต่การที่ทางอุทยานฯ มาตรวจสอบการบุกรุกอีกครั้งจะเป็นการดำเนินคดีที่ซ้ำซ้อน ซึ่งตามคำสั่งของ คสช.มาตราที่ 66 ได้ระบุไว้ว่า ห้ามมีการดำเนินคดีที่ซ้ำซ้อน ดังนั้น จึงขอให้ทางกรมอุทยานฯ ได้ให้ความเป็นธรรมต่อผู้ถูกกล่าวหา โดยควรจะยุบรวมคดีนี้ให้เหลือเพียงคดีเดียวเท่านั้น
ทั้งนี้ นายชัยวัฒน์ ได้สั่งให้ทางอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง ดำเนินการติดป้ายห้ามใช้พื้นที่ที่ตรวจสอบแล้วว่า มีการบุกรุกแนวเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง อย่างไรก็ตาม ทางผู้ประกอบการสามารถยื่นร้องต่อศาลปกครองให้คุ้มครองฉุกเฉินได้
วันเดียวกัน เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นำโดย นายเจตนา เหมมุน พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ สำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมสอบปากคำพยานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง หลังจากได้รับร้องเรียนจากชาวบ้านใน ต.ร่อนทอง อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ว่ามีนายทุน และชาวบ้านบางส่วน ลักลอบตัดไม้ แผ้วถางป่า ทั้งบุกรุกครอบครองปลูกสร้างที่อยู่อาศัย และปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ยางพารา อ้อย มันสำปะหลัง ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติโคกโจด ต.ร่อนทอง อ.สตึก กว่า 2,000ไร่
โดยชาวบ้าน ระบุว่า ก่อนหน้านี้ได้ร้องเรียนไปหลายหน่วยงาน ทั้ง อบต. อำเภอ และศูนย์ดำรงธรรม แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าและยังคงมีการบุกรุกอยู่อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว จนปัจจุบันแทบไม่หลงเหลือสภาพป่าที่สมบูรณ์แล้ว จึงเกรงว่าหากปล่อยไว้ไม่ดำเนินการตรวจสอบเอาผิด หรือหามาตรการป้องกันอย่างจริงจังแล้ว ป่าสงวนโคกโจดดังกล่าวก็จะถูกบุกรุกครอบครองทั้งหมด ซึ่งจากการลงตรวจสอบพื้นที่ก็พบมีการปลูกสร้างที่อยู่อาศัย และทำประโยชน์ โดยเฉพาะการเกษตรในพื้นที่ดังกล่าวจริง
นายเจตนา ระบุว่า หลังลงตรวจสอบพื้นที่ป่า สอบปากคำพยานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องครบทั้งหมดแล้ว ก็จะรวบรวมข้อมูลสรุปสำนวนข้อเท็จจริง ส่งนำเสนออธิบดีกรมสวบสวนคดีพิเศษ ได้พิจารณาสั่งการว่าจะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่ หากรับเป็นคดีพิเศษก็จะแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสืบสวนสอบสวน เพื่อดำเนินการเอาผิดกับผู้กระทำผิด แต่หากไม่เข้าเป็นคดีพิเศษก็จะประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่รับผิดชอบป่าดังกล่าวโดยตรงมาตรวจสอบต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี