14 พ.ย.59 สำนักพระราชวังได้เปิดให้ประชาชนเข้ากราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตั้งแต่เวลา 05.00 น.โดยมีประชาชนเดินทางมาจากทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มาเข้าแถวรอเพื่อให้ได้มีโอกาสเข้ากราบสักการะพระบรมศพพ่อหลวงของปวงชน ด้วยความอาลัยยิ่งและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่ทรงเหน็ดเหนื่อยเพื่อปวงชนชาวไทยเสมอมา
ด้าน นางขวัญฤดี วงค์สุบรรณ อายุ 51 ปี ชาว อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี พร้อมด้วยสมาชิกองค์กรพัฒนาสตรีและผู้สูงอายุ กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เคยเสด็จฯ ไปทรงเปิดเขื่อนรัชชประภา และโรงไฟฟ้าพลังน้ำ เมื่อวันที่ 30 ก.ย.2530 ดีใจมากที่พระองค์ท่านเสด็จไปช่วยเหลือราษฎร์ เพราะน้ำคือชีวิตของทุกคน ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ซึ่งที่ผ่านมาชาวสุราษฎร์ธานีได้ร่วมใจกันจัดกิจกรรมเพื่อพ่อมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นโครงการต่อเนื่องของพระองค์ หรือในโอกาสวันพ่อ รวมถึงได้เตรียมจัดกิจกรรมวันที่ 5 ธ.ค.นี้ ถึงแม้วันนี้พระองค์ท่านเสด็จสวรรคตแล้ว พวกเรารู้สึกเสียใจมากที่สุดของที่สุด โดยพวกเราก็จะน้อมนำหลักคำสอนของพระองค์มาปฏิบัติ ทั้งหลักเศรษฐกิจพอเพียง การทำความดีรู้รักสามัคคีเพื่อพ่อ
ขณะที่ นางยุพิน สูตรใจ อายุ 47 ปี ชาว ต.คลองไผ่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา กล่าวว่า ตนเดินทางมาทำงานเป็นพนักงานในบริษัทเอกชนย่านรังสิต กทม.กว่า 20 ปีแล้ว ยังไม่เคยรับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เลยแม้แต่ครั้งเดียว ก็รู้สึกน้อยใจที่ไม่เคยได้เห็นพระองค์เลย เพราะต้องทำแต่งาน ได้เห็นแต่ในรูปและในทีวี เห็นแต่พระองค์ท่านไปเยี่ยมราษฎร์ในถิ่นทุรกันดาร ยิ่งเวลาเห็นท่านปาดเหงื่อแล้วตนจะน้ำตาไหลทุกครั้ง รู้สึกปลาบปลื้มใจที่พระองค์ท่านช่วยเหลือราษฎร์ในทุกๆ เรื่อง ไม่อยากให้พระองค์ท่านจากพวกเราไปไหน ยิ่งได้เข้ามากราบพระองค์ที่ในพระบรมมหาราชวังยิ่งรู้สึกอบอุ่นเหมือนว่าพระองค์ยังอยู่กับประชาชน
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เช้าวันเดียวกันนี้ สำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมประชาชนที่เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ของวันที่ 13 พ.ย.หลังจากที่สำนักพระราชวังปิดให้ประชาชนเข้ากราบสักการะพระบรมศพ บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เมื่อเวลา 21.00 น.โดยมีประชาชนที่ได้เข้ากราบสักการะพระบรมศพ จำนวน 33,928 คน รวม 16 วัน ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค. - 13 พ.ย.59 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 470,319 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศล เป็นเงิน 2,238,997.25 บาท รวม 16 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 31,491,776.25 บาท
ขณะที่นักท่องเที่ยงต่างชาติจากรัฐเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมาพักอาศัยและท่องเที่ยวอยู่ที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี เดินทางมาพร้อมกับเพื่อนคนไทย โดยหลังจากทราบข่าวว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสวรรคต จึงพร้อมใจกันมากราบสักการะพระบรมศพ ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท โดยได้เตรียมตัวในเรื่องของการแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย และเดินทางมาถึงตั้งแต่ตี 4
โดย มร.เอเดรียน ลอว์ วัย 77 ปี อาจารย์มหาวิทยาลัยมิสซูรี แคนซัสซิตี้ อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องดินจากสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า แม้มาเมืองไทยเป็นครั้งแรก แต่ได้รับรู้เรื่องราวของพระองค์ท่านจากหนังสือพิมพ์มาบ้าง ครั้งนี้ได้มาเที่ยวเมืองไทย ได้เรียนรู้ประวัติและการทรงงานของพระองค์ท่าน ทราบว่าท่านทรงทำเพื่อประชาชนชาวไทยมากมาย โดยเฉพาะเรื่องดินที่ทรงศึกษาค้นคว้า แก้ปัญหาให้ชาวบ้านสามารถทำเกษตรกรรมได้ อีกทั้งยังทรงสามารถถ่ายทอดสอนให้ชาวบ้านปลูกพืชผักเลี้ยงชีพด้วยตัวเอง พระองค์ทรงศึกษามากกว่าที่พวกเรานักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐอเมริกาค้นคว้าในห้องทดลองเสียอีก
ด้าน นางจูลี แอน โบเอ็ม วัย 80 ปี เผยว่า รู้สึกดีใจที่เห็นคนไทยรักกัน แม้ตอนเช้าต้องเข้าแถวต่อคิวยาว แต่ด้วยความตั้งใจที่อยากจะมากราบสักการะพระบรมศพ ทำให้ได้เห็นการรวมเป็นหนึ่งเดียวและความช่วยเหลือซึ่งกันและกันของคนไทย ระหว่างทางก็มีแจกน้ำ ทิชชู่ และขนม อีกด้วย
น.ส.อแมนด้า โบเอ็ม วัย 44 ปี เผยว่า ชอบเดินทางท่องเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ และเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ได้มาท่องเที่ยวในเมืองไทย พร้อมได้ชมความงามของพระบรมมหาราชวัง ทำให้ได้เห็นและทราบประวัติของพระองค์แบบคร่าวๆ จากนั้นได้ศึกษาเพิ่มเติมจากการอ่านในหนังสือและอินเทอร์เน็ต ยิ่งทำให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่แตกต่างจากพระมหากษัตริย์องค์อื่นใดในโลกนี้ เพราะทรงเสียสละเวลาและทรงงานต่างๆ นานัปการ นอกจากนี้ ยังรู้สึกปลื้มใจที่ได้รับเสด็จฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระองค์ทรงแย้มพระสรวล และโบกพระหัตถ์ให้แก่ประชาชน เพื่อนชาวไทยบอกว่าเป็นความโชคดีของเรา เพราะแม้แต่คนไทยบางคนยังไม่ได้ใกล้ชิดอย่างนี้
นายคลิฟ เช้ง วัย 54 ปี กล่าวว่า ส่วนตัวตอนที่มาเมืองไทยครั้งแรก ภรรยาซึ่งเป็นคนไทยได้พาตนไปเที่ยวพระตำหนักดอยตุง จ.เชียงราย ดูโครงการต่างๆ ที่พระองค์ทรงพัตนาทำให้ชาวเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อยู่ดีกินดีด้วยเกษตรกรรม มีอาหาร มีน้ำกินน้ำใช้ อย่างยั่งยืน และมีความพอเพียง จำได้ว่าตอนนั้นพอรู้ว่าทั้งหมดที่เห็นนั้นมาจากพระมหากษัตริย์ ก็รู้สึกประทับใจ และสนใจในพระองค์มาก พอเห็นนิทรรศการพระราชประวัติของในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ยืนอ่านอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมง มีข้อมูลที่ทำให้ตื้นตันใจ คือ ที่แท้จริงแล้วพระองค์ท่านมีพระเนตรแค่ 1 ข้าง ทรงทำงานเพื่อผู้คนทั้งประเทศด้วยพระเนตรข้างเดียว คงต้องเหนื่อยมากๆ ลำพังตัวเองทำงานด้วยตา 2 ข้าง ยังรู้สึกเหนื่อยมากๆ แต่งานของพระองค์หนักกว่าหลายเท่า ยังทำต่อเนื่องด้วยความขยัน ไม่ย้อท้อ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี