นายพีรพันธ์ คอทอง ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะรองโฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า จากกรณีเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยจังหวัดตากได้แจ้งความร้องเรียนว่าถูก บริษัท แม่สอดพลังงานสะอาด จำกัด ฟ้องร้องดำเนินคดีให้ชำระหนี้จากกรณีการทำสัญญาร่วมโครงการปลูกอ้อยเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตเอทานอลจำนวน 53 ราย มูลหนี้รวมประมาณ 1,300 ล้านบาทนั้น นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ได้สั่งการให้ สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา จัดส่งเจ้าหน้าที่กฎหมาย ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วนแล้ว
ทั้งนี้เบื้องต้นพบว่า กลุ่มเกษตรกรที่ปลูกอ้อยและมีหนี้สินกับบริษัท 53 ราย มูลค่า 46 ล้านบาท ได้ดำเนินการฟ้องร้องคดีอาญากับบริษัทในข้อหาฉ้อโกงประชาชนและอยู่ระหว่างไกล่เกลี่ยข้อพิพาท โดยที่ผ่านมาได้ดำเนินการเจรจาฯ ไปแล้ว 2 ครั้ง และจะมีการนัดเจรจาฯ ครั้งที่ 3 ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์
ขณะที่จากการตรวจสอบสัญญาที่บริษัททำกับเกษตรกร พบว่า เป็นสัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญา ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา พ.ศ.2560 ดังนั้นกระทรวงเกษตรฯจึงจะเข้าไปดูแลแก้ไขปัญหาข้อพิพาทที่เกิดขึ้น แต่สำหรับสัญญาสิ้นสุดไปแล้วก่อนวันที่ พ.ร.บ. มีผลใช้บังคับ คือ วันที่ 23 กันยายน 2560 กฎหมายฉบับนี้ไม่สามารถนำมาบังคับใช้ได้ เนื่องจากอยู่ในขบวนการของศาลหรือดีเอสไอพิจารณาดูแล ส่วนสัญญาที่ไม่สิ้นสุดนับจาก 23 กันยายน 2560 เป็นต้นมา ทางสำนักงานจะเข้าไปดูรายละเอียดเอกสารอีกครั้งว่าจะมีการไกล่เกลี่ยอย่างไร รวมทั้งจะติดตามความคืบหน้ากรณีข้อพิพาทที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด และจะนำข้อมูลไปประกอบการกำหนดแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญาต่อไป
“ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเกษตรกรชาวไร่อ้อย อ.พบพระ ครั้งนี้ ถือเป็นกรณีตัวอย่างที่ให้เกษตรกรตระหนักว่า ต่อไปหากต้องทำคอนแทรคท์ฟาร์มมิ่งกับองค์กรหรือผู้ประกอบการรายไหน จะต้องตรวจสอบด้วยว่าบริษัทนั้นๆ ได้ขึ้นทะเบียนเข้าสู่ระบบเกษตรพันธสัญญากับทางสำนักงานหรือยัง ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการได้เข้ามาแจ้งจดเป็นผู้ประกอบในระบบแล้ว 104 รายและจะมีเข้ามาเพิ่มเรื่อยๆ ประเด็นที่สอง เมื่อมีเอกสารชี้ชวนหรือมาโฆษณาให้เข้าร่วมทำเกษตรพันธสัญญาของผู้ประกอบการ จะต้องศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับข้อตกลงในเรื่องแผนการผลิต มูลค่าและราคาที่ตกลงร่วมกันเป็นราคาคงที่หรือยึดตามราคาขึ้นลงของตลาด รวมทั้งระยะเวลาในการดำเนินการคุ้มค่าต่อการลงทุนหรือไม่ และที่สำคัญคือปัจจัยการผลิต เช่น เมล็ดพันธ์ ปุ๋ย สารเคมี สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยการผลิตที่ได้การรับคุณภาพจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือไม่ เกษตรกรจะต้องดูเอกสารเหล่านั้นให้ละเอียดและให้เข้าใจอย่างถ่องแท้เสียก่อน” นายพีรพันธ์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี