หลวงปู่พุทธอิสระ แฉซ้ำ"สมีนิพนธ์"มีเมียจริง เผยรับร้องเรียนมาตั้งแต่ปี 55 มีเหยื่อลูกสาวคหบดีถูกมอมยาจนเสียตัว แต่พอส่งร้องเรียนคณะสงฆ์สายธรรมยุต บอกกลั่นแกล้งพระจนต้องหอบลูกไปอยู่เมืองนอก สุดท้ายปรากฏเหตุการณ์ต่อเนื่องถึงปี 61 ระบุ "นิพนธ์" ใช้แผนเดียวกับ "เณรคำ ยันตระ" หลอกเหยื่อคนรวย ซัดสำนักพุทธนครปฐมแค่ทำงานสนองกิเลสพระ
วันนี้ (6 มี.ค.31) พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม หรือหลวงปู่พุทธอิสระ อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ได้เปิดเผยถึงกรณีอดีตพระครูภาวนา โสภิต หรือพระครูปลัดนิพนธ์ ธัมมทีโป อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าปฐมชัย อ.เมือง จ.นครปฐม มีพฤติกรรมเสพเมถุนและมีเมียว่า กรณีของกระแสข่าวดังกล่าวได้รับการร้องเรียนมาแล้วตั้งแต่ปี 2555 โดยเป็นร้องเรียนของคณบดีใหญ่ในจังหวัดนครปฐม ที่ได้นำคลิปพร้อมเอกการหลักฐานมาแจ้งว่าบุตรสาวได้เสียตัวให้กับสมีนิพนธ์ ทำให้มีความกลุ้มใจมาก ไม่รู้จะไปปรึกษาใคร เมื่อทราบว่าตนเป็นพระที่มักเข้าทำงานในเชิงรุกและการฟ้องร้องจึงได้นำบุตรสามาแสดงตัวและแจ้งข้อมูลให้ทั้งหมด
"พบว่าสมีนิพนธ์นั้นมีพฤติกรรมแบบนี้มานาน ในส่วนของบุตรสาวคหบดีนั้นจากการดูในคลิปมีอาการคล้ายโดนวางยา หรือมีการแอบใส่ยาในน้ำ เมื่อมึนยาก็จะกระทำการล่วงเกินจนเสียตัว ทุกวันนี้ต้องพาไปอยู่เมืองนอกกันแล้ว นอกจากนี้อาตมายังได้รับแจ้งว่าสมีนิพนธ์ นั้นจะมีพฤติกรรมติดยาเสพติดด้วย"
หลวงปู่พุทธอิสระ กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีนี้ตนได้เข้าไปร้องเรียนต่อเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ ในชั้นปกครองแต่ได้รับคำตอบทำนองไม่เชื่อและเป็นการกลั่นแกล้ง แต่ก็ยังมีการร้องเรียนเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งยังมีเหยื่ออีกหลายรายที่ได้เข้ามาร้องเรียนอีกและได้แนะนำให้ไปร้องเรียนกับ ผอ.สำนักพุทธศาสนาแห่งชาติในสมัยนั้น
"แต่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐมนั้นไม่ต้องไปคิดถึง ทำนหน้าที่แค่การรับใช้พระเท่านั้น แต่คณะสงฆ์กลับไม่ดำเนินการใดใด และเจ้าคณะตำบล อำเภอก็ไม่สนใจ เวลามีงานวัดนี้ก็จะนิมนต์ไปร่วมงานและใส่ซองให้หนาๆ จนกระทั้งมาถึงปี 2561 จึงได้ปรากฏเป็นข่าวและมีการตื่นตัวอีกครั้ง และเชื่อว่าหากยังเป็นแบบนี้เดี๋ยวข่าวก็จะเงียบแบบกรณีเณรคำ ซึ่งยังติดคุก เดี๋ยวพ้นคดีก็จะกลับมาแอบบวชได้อีก สมีนิพนธ์ ก็เช่นเดียวกัน"
หลวงปู่พุทธอิสระ กล่าวอีกว่า คณะสงฆ์ไทยก็มีแบบนี้ตลอด ถ้าหากมีเรื่องเหมือนในครั้งพระพุทธกาลที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงหากมีเรื่องร้องเรียน จะมีการประชุมสงฆ์ สอบสวนผิดจริงก็ปรับอาบัติ แต่ยุคนี้ ไม่มีการทำตาม และปัดไปถึงให้กฎหมายบ้านเมืองก่อนถึงจะมีการออกมาบอกว่า ทางสงฆ์ค่อยดำเนินการและกรณีสมีนิพนธ์ จนป่านนี้ก็ไม่ได้มีการประกาศความผิดใดใด จนหนีไปแล้ว ไม่มีใครทำอะไรเลย และทำงานเหมือนเดินตามรอยตีนช้าง และถ้าใครไปวุ่นวายก็จะมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ คนมีชื่อเสียง เข้าไปรวมกันทำให้ชาวบ้านไม่อยากเข้าวัด
"เรื่องนี้การแก้ไขจะต้องทำโดยการแก้กฎหมายเอามาตร 157 มาใช้ โดยให้เจ้าคณะปกครองมีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ตามกฎหมาย เมื่อไม่ปฏิบัติหน้าที่ก็ให้มีการ้องเรียนกล่าวโทษ ตามมาตร 1571 ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ แต่กฎหมาย ป.ป.ช.บอกเจ้าคณะปกครองไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ คณะสงฆ์ก็เพิกเฉย ไม่มีการทำงานใดใด ถ้าเปลี่ยนตรงนี้ อย่างกรณีนี้ไปร้องเรียนแล้วไม่ปฏิบัติหน้าก็ร้องเรียนได้ มันจะก็เป็นอย่างนี้อีกขึ้น เช่นคดีของจังหวัดเศรีษะเกษ ที่กำลังจะมีการขึ้นศาลเร็วๆนี้ ถามว่าหลักฐานนั้นแทบจะไม่ได้เก็บไว้แล้วเพราะเคยเอาไปร้องเรียนเป็นตั้งๆ ก็ไม่ได้ความคืบหน้ามันไม่มีประโยชน์ และยังมีการแบ่งเป็นธรรมยุต และสายมหานิกาย"
หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวต่ออีกว่า จากที่ได้รับการฟังจากพ่อแม่ของเหยื่อ บอกว่า สมีนิพนธ์ จะเน้นคนรวย โดยมีเมียหลายคน ทั้งแอร์โฮสเตส พยาบาล และล่าสุดยังนักข่าวสาวหน้าใหม่เข้าไปพัวพันอยู่ด้วย โดยมีการแบ่งการจัดการทำงานบริหารงานกัน ซึ่งเป็นมุขเดียวกับเณรคำ ทำมานานมาก โดยมีแม่ชี ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าแผนนี้เป็นแผนนารีพิฆาตร ถามว่าคณะสงฆ์เชื่อว่าไม่เป็นจริงเพราะถ้าจริงต้องมีการออกประกาศ ชัดเจนว่าต้องอาบัติปาราชิก ผิดวินัยร้ายแรงถามว่าวันนี้มีมั้ยไม่มีเลย แต่ถามว่าเชื่อไม่เชื่อไม่เป็นไร แต่มีการสอบสวนติดตามเรื่องราวมั้ย เค้าร้องก็หาว่าเมคกันขึ้น วันนี้ สนช. พยายามแก้กฎหมาสงฆ์ หลายครั้งแต่ก็ได้รับเรื่องตีกลับ มาบอกว่ากฎหมายคณะสงฆ์นั้นดีอยู่แล้ว
หลวงปู่พุทธอิสระ กล่าวอีกว่า ถ้ากลุ่มผู้ร้องทั้ง 7 คนจะมองว่ากรณีนี้จะเป็นมวยล้มหรือไม่ต้องบอกว่า ถ้าเป็นกรณีร้องกับคณะสงฆ์รับรองมวยล้ม แต่ถ้าไปร้องเรียนกับหน่วยงานภาครัฐ เช่นกองปราบฯ ให้บ้านเมืองอาจจะไม่ล้ม และถ้ามีการเอาจริงเอาจังสามารถมีหลักฐานสืบค้นได้ เช่นเงินทองได้มาอย่างไร ใครมาบริจาค ใครใกล้ชิดบ้างเส้นทางการเงินสามารถตรวจสอบได้หมด ส่วนการที่คณะสงฆ์ออกมาบอกว่า สมีนิพนธ์นั้นสึกไปแล้ว นั้นไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง เพราะต้องทำตามกฎ ของสงฆ์ แม้จะสึกไปแล้วก็ต้องทำพิจารณาทิกร แล้วประกาศลงฑัณฑ์ อาบัติให้ปาราชิก จะได้ไม่ไปบวชที่อื่นอีก
"ถ้าอาตมาเป็นกลุ่มผู้ร้องจะไม่ร้องกับคณะสงฆ์ เพราะร้องไปตั้งแต่ปี 2555 แต่ไม่รับร้อง แต่วันนี้จะไปร้องกับสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม ก่อนถ้าเจ้าหน้าที่ไม่นำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมกรรมการมหาเถรสมาคม คณะสงฆ์จังหวัด คณะสงฆ์ภาค แสดงว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาละเลยการปฎิบัติหน้าที่เพราะสำนักพระพุทธศาสนาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐตามกฎหมายก็จะร้องมาตรา 157 และศาลก็จะเรียกมาสอบหากพบไม่ดำเนินการ ก็จะเอาคำสั่งของศาลไปร้องต่อเถรสมาคม ฐานไม่เอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัย ไม่เอื้อเฟื้อต่อจรรยาพระสังฆาธิการก็สามรถไล่ออก ภาคฑัณฑ์ ก็ต้องให้ศาลทางโลกมาสั่งการก่อน แต่คนส่วนใหญ่ จะเบื่อหน่ายนอกจากผู้ร้องจะสู้ถึงที่สุด"
หลวงปู่พุทธอิสระ กล่าวว่า ทุกวันนี้การจะปราบอะลัคชีต้องพึ่งสื่อมวลชน ในการปราบการโกงการทุจริต และที่สำคัญการที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐมไม่ได้ดำเนินการก็น่าจะมีการร้องเรียนในฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่เพราะมีการร้องเรียนมาแล้วตั้งแต่ปี 2555 จนถึงวันนี้เพิ่งจะมาเป็นข่าวต้องถามว่าทำอะไรอยู่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี