เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 8 มีนาคม ศาลปกครองกลางได้อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ บ. 447/2558 ระหว่าง นายเคท หรือคทาวุธ ครั้งพิบูลย์ ผู้ฟ้องคดี กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ 1 คณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ 2 ผู้ถูกฟ้องคดี
คดีนี้ผู้ฟ้องคดี ฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีได้สมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยสายวิชาการ ตำแหน่งอาจารย์คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์สังกัดผู้ถูกฟ้องคดที่ 1 และได้ผ่านการคัดเลือกแล้ว แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีมติไม่ว่าจ้างให้ผู้ฟ้องคดีเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย เนื่องจากเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีมีพฤติกรรมการแสดงออกด้วยการใช้ถ้อยคำผ่านสื่อสารทางสังคมออนไลน์ในลักษณะที่ไม่เหมาะสม และอาจมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ผู้ฟ้องคดีจึงมีหนังสืออุทธรณ์ต่อผู้ถูกฟ้องคดที่ 2 ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดที่ 2 พิจารณาแล้วมีมติยืนยันตามมติเดิม ผู้ฟ้องคดีจึงยื่นฟ้องต่อศาล
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่ผู้ฟ้องคดีได้สื่อสารทางสังคมออนไลน์ เป็นวิธีสื่อสารถึงกัน อันเป็นสิทธิ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามมาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ที่ใช้บังคับในขณะเกิดข้อพิพาทรับรองสิทธินี้ไว้ แต่สิทธิเสรีภาพในการสื่อสารทางสังคมออนไลน์ของผู้ฟ้องคดีจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย และระเบียบข้อบังคับของทางราชการ หากผู้ฟ้องคดีมีการสื่อสารทางสังคมออนไลน์โดยไม่ได้อยู่ภายใต้ขอบเขตกฎหมาย และระเบียบข้อบังคับของทางราชการ ผู้ฟ้องคดีย่อมไม่ได้รับการคุ้มครองตามที่รัฐธรรมนูญรับรองสิทธิและเสรีภาพไว้ ซึ่งศาลได้พิจารณามติของผู้ถูกฟ้องคดที่ 2 แล้วเห็นว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดที่ 2 มีมติไม่ว่าจ้างผู้ฟ้องคดีเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ไม่ได้เกี่ยวกับเพศสภาพ หากแต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้นำพฤติการณ์หรือการกระทำของผู้ฟ้องคดีที่ได้สื่อสารทางสังคมออนไลน์ มาใช้อ้างในการมีมติไม่ว่าจ้างผู้ฟ้องคดีเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย แต่เมื่อศาลได้พิจารณาพฤติการณ์หรือการกระทำของผู้ฟ้องคดี ที่ได้สื่อสารทางสังคมออนไลน์ ซึ่งได้แก่ เฟซบุ๊ก (Facebook) จำนวน 4 ข้อความ และอินสตาแกรม (Instagram) จำนวน 2 ข้อความ พร้อมภาพประกอบ แล้วเห็นว่า การใช้ถ้อยคำของผู้ฟ้องคดีและภาพที่ได้เผยแพร่ในเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม อาจจะมีการใช้ถ้อยคำไม่สุภาพและภาพไม่เหมาะสมอยู่บ้างบางคำบางภาพ แต่ยังไม่ถึงขนาดที่จะถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีมีลักษณะต้องห้ามอันเนื่องจากเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีตามมาตรา 7 (ข) (4) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.2547 การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีมติไม่ว่าจ้างผูฟ้องคดีเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ตำแหน่งอาจารย์ จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พิพากษาเพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ที่ไม่ว่าจ้างผู้ฟ้องคดีเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย สายวิชาการ ตำแหน่งอาจารย์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ โดยให้มีผลนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด และมีข้อสังเกตและแนวทางเกี่ยวกับการปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษาว่า ให้ผู้ถูกฟ้องคดที่ 2 ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่เรียกใหผู้ฟ้องคดีไปทำสัญญาจ้างเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย สายวิชาการ ตำแหน่งอาจารย์ ตามที่สอบคัดเลือกได้ภายใน 60 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี