นายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์เปิดเผยว่า ในการเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการประชุมสมัชชาองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (เอฟเอโอ) ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ที่ประเทศฟิจิในระหว่างวันที่ 11-13 เมษายนที่ผ่านมา โดยในระหว่างพิธีเปิด นายโฮเซ กราเชียโน ดา ซิลวา ผู้อำนวยการใหญ่ของเอฟเอโอ ได้กล่าวยกย่องสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในฐานะทูตพิเศษประจำเอฟเอโอ ในการรณรงค์แก้ไขปัญหาการขาดอาหารและโภชนาการ ทั้งในประเทศไทยและในภูมิภาคอื่นๆ ที่ทรงมีพระราชกรณียกิจช่วยเหลือผู้ยากไร้ และพัฒนาโภชนาการของเด็ก
ทั้งนี้ สมเด็จพระเทพฯ ในฐานะทูตพิเศษด้านการขจัดความหิวโหยทรงดำเนินโครงการเพื่อช่วยลดความหิวโหยมาตั้งแต่ปี 2523 เช่น โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน กองทุนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร โดยมีพระราชดำริให้ดำเนินโครงการความร่วมมือกับประเทศในภูมิภาค เช่น ลาว พม่า กัมพูชา ภูฏาน และบังกลาเทศ เป็นต้น สำหรับนโยบายของรัฐบาลไทยขณะนี้ได้ริเริ่มโครงการไทยนิยมยั่งยืน โดยจัดสรรเงินงบประมาณกว่า 100,000 ล้านบาท ในการดำเนินโครงการมีแผนงานและงบประมาณด้านการปฏิรูปโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตรกว่า 24,000 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาความยากจนของเกษตรกรลดรายจ่าย
นายกฤษฎากล่าวอีกว่า ประเทศไทย ได้แสดงความมุ่งมั่นต่อที่ประชุมถึงการขจัดความอดอยากหิวโหยให้หมดไป โดยรัฐบาลไทยได้เชื่อมโยงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติเข้กับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของประเทศไทย และยุทธศาสตร์เกษตรและสหกรณ์ 20 ปี ระหว่างปี 2560 ถึง ปี 2579 โดยน้อมนำเอาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่เน้นการพัฒนาแบบยั่งยืน โดยคำนึงถึง สิ่งแวดล้อมที่อยู่ในขณะนั้น ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร มาเป็นแนวทางในการดำเนินนโยบาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน ยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและเกษตรกร แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างการผลิตภาคเกษตร เสริมสร้างความมั่นคงอาหาร พัฒนา โภชนาการและความปลอดภัยอาหาร เพื่อนำไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ของประชาชนและประเทศชาติ ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ทรงมีพระปณิธานแน่วแน่ที่จะทรงสานต่อโครงการพระราชดำริและพระราชกรณียกิจในการช่วยเหลือเกษตรกร และการแก้ไขปัญหาความยากจน
โดยนโยบายของรัฐบาลไทยขณะนี้ได้ริเริ่มโครงการไทยนิยมยั่งยืน โดยจัดสรรเงินงบประมาณกว่า 100,000 ล้านบาท ในการดำเนินโครงการดังกล่าวมีแผนงานและงบประมาณด้านการปฏิรูปโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตรกว่า 24,000 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาความยากจนของเกษตรกรลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารของประเทศ โดยใช้แนวคิดการทำงานร่วมกัน ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน หรือ “ประชารัฐ” โดยมีการจัดทำประชาคม และรับฟังปัญหาระดับชุมชน โดยใช้การสำรวจความต้องการและปัญหา
ในระดับชุมชนเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน
“ที่ผ่านมากระทรวงเกษตรฯ ได้ดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหา ความยากจนและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร อาทิ การส่งเสริมสหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน กลุ่มเกษตรกร เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็ง ให้แก่เกษตรกรรายย่อย โดยนำระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่มาใช้กับกลุ่มเกษตรกรรายย่อย การยกระดับมาตรฐานคุณภาพการผลิตสินค้าเกษตรให้เป็นไปตามความต้องการของตลาด โดยใช้แนวคิด “การตลาดนำการผลิต”
การพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมเกษตรสมัยใหม่ และสนับสนุนเกษตรกรรุ่นใหม่ที่ผันตัวมาเป็นเกษตรกรมืออาชีพก่อให้เกิดการพัฒนา ชนบทอย่างยั่งยืน การลดการใช้สารเคมีในการผลิต สร้างความรู้ความเข้าใจรณรงค์ลดการใช้ยาฆ่าแมลง ยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันปัญหาเชื้อดื้อยาในภาคเกษตร โดยดำเนินการ
ภายใต้หลักสุขภาพหนึ่งเดียว ร่วมกับ เอฟเอโอ กระทรวงสาธารณสุข เกษตรกร ผู้ผลิต และ
ผู้บริโภค” นายกฤษฎา กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี